***บทความนี้บอกเล่าประสบการณ์ตรงของผู้เขียนเอง โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน***
ถ้าพูดถึงวงการบันเทิง ดารากับนักข่าว เปรียบเสมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าเลยก็ว่าได้ และถ้าไม่มีนักข่าวบันเทิง ประชาชนก็คงไม่มีใครที่จะค่อยหาเรื่องต่างๆให้ได้เม้าท์เป็นเรื่องสนุกปาก ทั้งข่าวฉาวข่าวาว ข่าวรักข่าวเลิก ข่าวเบื้องหลังละคร ไปจนถึงคอนเสิร์ต เป็นต้น บางคนอาจจะคิดว่าอาชีพนี้น่าสนุกดีนะ วันๆก็อยู่กับดารา อยู่กับสิ่งที่ดูสวยๆงามๆ แต่ขอพูดเลยว่าอาชีพนี้ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจ ดูตัวอย่าง กรณีงานศพของดาราดังคนหนึ่งซิ ดราม่าไปเป็นเดือน อะไรดีไม่ดี ตรงไหนบกพร่องก็ว่ากันไป … แต่เอาเป็นว่า ไนท์ขอมาเล่าประสบการณ์การทำงานในฐานะนักข่าวบันเทิงให้ทุกคนได้อ่านกันครับ
เริ่มต้นอาชีพนักข่าว
ผมเคยเข้ารับการฝึกอบรมอาชีพผู้ประกาศข่าวจากสำนักข่าวเนชั่น ซึ่งการฝีกในขณะนั้น ไม่ได้แยกประเภทการทำข่าวว่าสายไหนยังไง ก็เข้าไปอบรมสิ่งที่นักข่าวและผู้ประกาศข่าวต้องรู้ เราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆที่เราไม่เคยรู้มาก่อนผ่านประสบการณ์การทำงานของพี่ๆนักข่าวหลายท่าน พอเรานึกย้อนกลับไปถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้มาทำอะไรแบบนี้ แล้วพอจบโครงการปรากฏว่า เราได้รับเลือกให้เข้ามาฝึกงานในส่วนของข่าวบันเทิง ทั้งทำหน้าที่เป็นนักข่าวและผู้ประกาศข่าว
ก่อนออกสนามข่าว
กว่าที่นักข่าวจะออกไปหาข่าวให้ประชาชีได้รู้กันนั้น ต้องผ่านบรรณาธิการข่าว หรือเรียกสั้นๆว่า บก. ว่าจะเลือกให้ใครไปทำหมายข่าวอะไรบ้างในแต่ละวัน โดยหมายข่าวต่างๆหรืองานอีเว้นท์ที่ทางพีอาร์ส่งมานั้น จะทยอยมาจากการส่งแฟกซ์หรืออีเมลล์ล่วงหน้าราวๆ 2-3 สัปดาห์ ไม่รวมหมายด่วน แถลงข่าวฉาวต่างๆนานาที่ต้องสแตนบายพร้อมทำงานทุกเมื่ออีก สุดท้ายนักข่าว 1 คนจะวิ่งงานกี่หมายก็อยู่ที่บก.สั่งมา บางวันออกแต่เช้า กลับมาอีกทีค่ำ เขียนข่าว เลือกฟุต เพื่อออนแอร์วันถัดไป
สนามข่าว
ทุกๆวันที่เราออกไปทำข่าวตามหมายข่าวที่ได้รับมอบหมาย เพื่อนรู้ใจที่ไปไหนไปกันเสมอก็คือ ตากล้องกับคนขับรถ ตลอดทั้งวันเราแทบจะใช้ชีวิตรวมกันทั้งทำงานและกินข่าว พอไปถึงงาน เซ็นชื่อลงทะเบียน ถ่ายบรรยากาศงาน รอสัมภาษณ์ดาราที่แบ็คดรอป เป็นอันเสร็จพิธี โดยในแต่ละวันจะไปกี่งานก็ขึ้นอยู่กับบก.และเส้นทางสัญจรว่าไปทางเดียวกัน หรืองานจัดใกล้กันไหม ก็ตกราวๆ 2-4 งานต่อวัน ยิ่งงานคอนเสิร์ตไม่ต้องพูดถึงเลิกดึก กลับบ้านหลังเที่ยงคืนไม่ต้องสงสัย
นักข่าวหน้าใหม่(ไม่ง่ายเลย)
ตอนเป็นนักข่าวใหม่ๆ ทำให้เรามีเพื่อนใหม่ๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนนักข่าวด้วยกัน เพื่อนพีอาร์ หรือแม้แต่ดารา ชีวิตก็ดูเหมือนจะสนุกสนานวาไรตี้ดีนะ แต่ชีวิตนักข่าวด้วยกันมันก็ไม่ง่าย มันก็มีดราม่าไม่ต่างจากดาราหรือละครนั้นแหละ อาจจะมีกกมีก๊วนที่ไม่ชอบขี้หน้าเรา ทั้งๆไม่ได้รู้จักกัน ก็ไม่ชอบกันซะงันก็มี สุดท้ายเรามาทำงาน จะหมั่นไส้ไม่ชอบขี้หน้าเรามันก็เรื่องของเขา แต่เรายังมีเพื่อนดีๆที่ยังคบกันถึงทุกวันนี้ … ก็ถือว่า แฮปปี้
โดนเหวี่ยงตอนสัมภาษณ์
ถ้าดาราเหวี่ยงอาจจะไม่ค่อยน่ากลัวนะ แต่นักข่าวด้วยกันเหวี่ยงนี้ น่ากลัวกว่า … คือตอนเราทำงานนักข่าวใหม่ๆเวลาสัมภาษณ์ไมค์รวมดารา จะมีพี่ๆนักข่าวที่ชั่วโมงบินสูงแล้ว ค่อยถามนำร่องประเด็นต่างๆ เช่น เลิกกันจริงไหม, มีคนเข้าพูดแบบนั้น, มีมือที่สามหรือเปล่า เป็นต้น ซึ่งสกิลการถามถือว่าว่องไวมาก แบบหาที่แทรกไม่ได้เลย ดาราตอบจบปุ๊บ ถามต่อทันที ด้วยความที่เราเป็นเด็กใหม่แต่เรามีประเด็นที่สงสัยก็พยายามจะถาม แต่พอมีจังหวะถามไปปุ๊บ ก็โดนสายตานักข่าวรุ่นพี่มองแบบว่า จะขัดทำไมทำนองนั้น ซึ่งเราเองก็คิดนะว่า ไม่รู้ว่าทำถูกหรือผิดหรืออะไรยังไง ฉันก็แค่มีประเด็นของฉันที่ได้รับมอบหมายมาให้ทางทำข่าว ไม่เห็นจะต้องเหวี่ยงขนาดนั้น ถือว่าเป็นประสบการณ์ในการทำงานกับผู้อื่นละกัน
นักข่าวบันเทิงในยุคโซเซียล
สำหรับปัจจุบันช่องทางการติดตามข่าวมีเยอะมากขึ้น ทั้ง Facebook, Instagram และ Youtube เป็นต้น …แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อนตอนได้ทำงานนักข่าว ช่วงนั้น Twitter เป็นอะไรที่ใหม่มาในสังคมออนไลน์ เราเองก็เริ่มเล่นทวิตเตอร์เพราะผู้ใหญ่อยากให้อัพเดทข่าวต่างๆจากช่องทางนี้ด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องสนุกสำหรับเราและทำให้หลายคนรู้จักเรามากขึ้น (เผื่อใครเล่น Twiiter+ Instagram มาตามกันได้ที่ @nightphoomin )
สมัยนั้นที่เราทำข่าวดังๆหลายข่าว เช่น ฟิลม์-แอนนี่ หรือ กฤษณ์-มาช่า เป็นต้น จำได้เลยว่า แถลงข่าวแทบทุกวัน ฝ่ายชายบ้าง แม่บ้าง แอนนี่บ้าง บุคคลที่สามบ้าง เรียกได้ว่าเล่นข่าวนี้กันเป็นเดือน ด้วยความที่เรามันส์ในการทำข่าว เราก็ทวิตสดๆ ณ ตอนนั้นเลย เขาแถลงอะไนมาก็พิมพ์เดียวกัน ชนิดที่เรียกว่ากดบีบีนิ้วแทบล็อคกันเลยทีเดียว ผลที่ได้รับกลับมาคือ คนที่ติดตามเราตื่นเต้นและลุ้นกับข่าวที่เราทำไปด้วย มีความสดทันเหตุการณ์ จนทำให้มีคนตาม follow กลับวันหนึ่งหลายพันคนและมีคนรีทวิตข้อความเป็นหลักพันเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีเวบใหญ่ๆอย่าง Sanook, Kapook และ Pantip นำข้อความทวิตของเราไปอัพเดทข่าวอีกด้วย นึกย้อนกลับไป ก็มันส์ดีเหมือนกันนะ
ติดตามเพจผมได้ที่
https://www.facebook.com/NightPhoominOfficial
ทำแต่ข่าวฉาวๆ จนรู้สึกเอียน
ผมเชื่อว่า คนที่เป็นนักข่าวบันเทิงน้ำดีหลายๆท่าน คงจะรู้สึกเหมือนกัน บางครั้งเรารู้สึกสบายใจที่ได้ทำข่าวบันเทิงเชิงศิลปวัฒนธรรมบ้าง เพื่อเป็นการส่งเสริมสิ่งดีๆให้กับสังคมไทย แต่ก็อย่างว่า ข่าวดีๆแบบนี้ไม่เป็นที่นิยม เพราะสุดท้ายคนดูคนอ่าน ก็อยากจะรู้แต่ข่าวรัก ข่าวเลิก ข่าวมือที่สาม ข่าวทะเลาะตบตี หรือข่าวท้องก่อนแต่ง หรือเรียกง่ายๆ ข่าวกระแส … สุดท้ายนักข่าวบันเทิงทุกสำนักก็ต้องวิ่งข่าวเหมือนๆกัน เพียงเพื่อไม่ให้ตกประเด็นนั้น พอทำๆไปก็เหมือนเราตามเผือกเรื่องของดารา แต่ก็อย่างว่า งานก็คืองาน แต่ถ้ามีอะไรดีๆที่สามารถสื่อสารออกไปได้ เราก็พร้อมที่จะทำนะ
นักข่าวบันเทิง ต้องมีความคิดสร้างสรรค์
ใช่ว่าวันๆเราจะตามแต่ข่าวกระแส จนคิดอะไรไม่ได้นะ นักข่าวบันเทิงต้องคิดสกู๊ปข่าวที่นำเหตุการณ์ต่างๆมาวิเคราะห์และนำเสนอเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ชมด้วย รวมถึงเหตุการณ์และวันสำคัญต่างๆ ที่เราจะต้องคิดว่า นำเสนอหัวข้ออะไรให้รู้สึกสนุกและเป็นประโยชน์ ฉะนั้นในจุดนี้ก็ไม่ได้ง่ายเลยเช่นกัน
เก็บทุกคอนเสิร์ต(KPOP)
ช่วงที่ทำข่าวใหม่ๆ นักร้องเกาหลีบูมมากในเมืองไทย ทุกเดือนจะมีนักร้องเกาหลีแวะเวียนมาหลายคน เราก็เป็นติ่งอยู่พักใหญ่ๆ (ปัจจุบันก็เป็นนะ) ถือว่าเโชคดีที่เราได้ออกไปทำข่าวและใกล้ชิดนักร้องที่เราชื่นชอบ อย่าง 2PM, Big Bang, Super Junior, 2NE1, 4Minute และอีกมากมาย แทบจำไม่ได้
แต่จะว่าไปงานคอนเสิร์ตก็ไม่ได้สนุกแบบที่หลายคนคิดนะครับ ถ้าเราเป็นคนดูดูจบกลับบ้าน สำหรับนักข่าวบันเทิงต้องกลับออฟฟิตเพื่อเขียนข่าวเตรียมออนแอร์ในวันถัดไป ฉะนั้นเวลามีงานคอนเสิร์ตจะกลับบ้านดึกเป็นประจำ ถ้าช่วงไนท์มีคอนเสิร์ตติดๆกัน ก็ทำเอาเหนื่อยเหมือนกันครับ
นักข่าวผีก็มีนะ
นักข่าวผีมีแทบทุกยุคสมัยจนถึวปัจจุบันก็มี นักข่าวผีคือ นักข่าวที่ไม่มีสำนักข่าวชัดเจน จากเวบไหนยังไงไม่รู้ มักจะหวังมารับของฟรีในงาน บัตรดูหนังงฟรี ตั๋วคอนเสิร์ตฟรี รวมถึงการชิงโชคสำหรับนักข่าวด้วย และที่ปวดใจที่สุดคือ นักข่าวผีที่ได้รางวัล แล้วเดินขึ้นไปรับของบนเวที ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า นักข่าวจริงๆหันมามองหน้ากัน แล้วพูดว่า … มาจากที่ไหนอ่ะ?
มนุษย์ป้าตามงานอีเว้นท์
จะมองว่าเป็นเรื่องกวนประสาทก็ได้หรือจะมองเป็นเรื่องตลกก็ได้ งานไหนที่จัดในที่สาธารณะ เรามักจะเห็นมนุษย์ป้าหน้าเดิมๆราว 2-3 คน มายื่นรอหน้างาน รอขอฟรีแจกในงานบ้าง เราของจากนักข่าวโดยพยายามถามว่า “น้องเอาไหม ไม่เอาป้าขอ” หรือแม้แต่ Snack Box ป้าก็ขอ …บางทีก็ไม่ใช่แค่มนุษย์ป้านะ มนุษย์ลงก็มี
นักข่าวบันเทิงสนิทกับดาราแค่ไหน?
เรื่องนี้ตอบยากเหมือนกันนะ ขอตอบแบบประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ … ถึงแม้ว่าเราจะเห็นหน้ากันบ่อยๆ จนรู้จักกันแล้ว แต่ต้องยอมรับว่า ดารากับนักข่าวจะมีช่องว่างของกันและกันอยู่ ถ้าเรื่องที่เป็นส่วนตัวจริงๆ ดาราก็คงจะไม่อยากให้นักข่าวรู้ เพราะเรื่องอาจจะหลุดไป ถูกตีความต่างๆนานา ว่าง่ายๆ จะไว้ใจนักข่าวคนนั้นได้ยังไง? เรื่องบางเรื่องพูดกันแบบ Off the Record พูดกันตรงนี้ แต่ห้ามพูดต่อก็ยังมีอยู่บ่อยๆ สุดท้ายก็คงขึ้นอยู่กับนักข่าวแต่ละคนว่าจะไว้เนื้อเชื่อใจกันมากน้อยแค่ไหน นิสัยใจคอกับอายุงานก็ถือว่าสำคัญในจุดนี้
ไม่ใช่ดาราในช่อง ไม่ไปทำข่าว
หลักการง่ายๆเลยว่า ถ้ามีทำข่าวดาราที่สังกัดช่อง หรือข่าวกองละคร แน่นอนว่าช่องข่าวคู่แข่งจะไม่ไปทำข่าวอยู่แล้วเป็นที่รู้กัน นอกจากจะเป็นข่าวกระแสสังคมจริงๆ หรือพูดง่ายๆ ข่าวฉาวๆคาวๆตั้งโต๊ะแถลงเป็นเรื่องเป็นราว แบบนี้ถึงจะไปตามเก็บข่าว แต่ถ้าเป็นสำนักข่าวทั่วไปที่ไม่มีละครหรือเด็กในช่องที่ดูแล้วจะเป็นคู่แข่งกัน นักข่าวก็ไปทำข่าวได้ปกติ
คำถาม…รู้สึกยังไง?
เราถูกสอนมาว่า อย่าถามว่า “รู้สึกยังไง?” เพราะแต่ละเหตุการณ์มันบอกความรู้สึกด้วยตัวเองอยู่แล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องเหตุการณ์ที่เกิดเดิมๆซ้ำๆ โดนเฉพาะงานศพ เป็นเหตุการณ์ที่นักข่าวสำนักนึงจ่อไมค์ถามดาราที่งานศพญาติของเขา แล้วถามว่า “รู้สึกยังไง?” … คำตอบก็คือ “ถ้าพ่อคุณตาย คุณจะรู้สึกยังไง?” … เรื่องนี้จำไม่เคยลืมเลย
บางสถานการณ์การทำงานไม่ราบรื่น เข้าใจเราบ้าง
ประการแรก นักข่าวบันเทิงมักจะมีเรื่องได้ไฟท์กับดิ่งเกาหลีอยู่เสมอๆ เพราะผู้จัดงานดันไปจัดพื้นที่สำหรับทำข่าว หรือที่เราเรียกกันว่า “คอกนักข่าว” แล้วเป็นจุดที่ยืนบังติ่งเกาหลีแถวหน้าพอดี ตลอดงานเราจะได้ยินน้องๆพูดว่า พี่ก้มหน่อยค่ะ, พี่หลบหน่อยค่ะ หนูมองไม่เห็น … โอ๊ยคุณน้อง พูดตามตรงพี่ก็เห็นใจ พี่ยืนจุดนี้ก็ใช่ว่าจะสบาย พี่มาทำงานถึงเราจะหลบ แล้วตากล้องอีกมากมายที่ยืนอยู่หละจะทำยังไง เอาเป็นว่าสถานการณ์นี้ก็จบลงด้วยการประคับประคองจิตใจน้องๆ โดยที่งานเราก็ไม่เสีย (พี่ก็เป็นติ่ง พี่เข้าใจนะน้องนะ)
ใกล้วันหยุดยาว ทำงานหนักมาก
สำหรับงานอื่นๆ ใกล้วันหยุดยาวคงจะนั่งอมยิ้ม คิดแล้วว่าจะไปเที่ยวไหนดี แต่สำหรับงานนักข่าวบันเทิงแล้ว ต้องทำสต๊อคข่าวสำหรับไว้ออนแอร์หรือตีพิมพ์ช่วงหยุดยาวด้วย ฉะนั้นช่วงเวลาใกล้ๆวันหยุดจะต้องเร่งทำข่าวเยอะขึ้นสองถึงสามเท่า แล้วนี้ไม่รวมต้องสแตนบายเผื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นช่วงวันหยุด ก็ต้องโดนเรียกตัววิ่งไปทำข่าวอีก แต่อาจจะดีกว่านักข่าวในหมวดการเมืองหรืออาชญากรรมที่จะต้องสแตนบายตลอดเวลาเช่นกัน
บอกลาชีวิตนักข่าวบันเทิง
ผมได้มีโอกาสทำงานนักข่าวบันเทิงประมาณ 2 ปี ได้ประสบการณ์เยอะมากจากอาชีพนี้ รวมถึงการได้รู้จักผู้คนมากมาย ทั้งดารา, พีอาร์ และเพื่อนนักข่าวด้วยกัน จนถึงวันนี้เวลาผ่านไป 5 ปี เราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะแยกย้ายไปทำงานอื่นของตัวเองแล้ว ส่วนตัวเราได้รับโอกาสไปทำงานเบื้องหลังรายการทีวี ในวันที่ตัดสินใจจบอาชีพนักข่าวบันเทิง เดินไปปรึกษาผู้ใหญ่ในช่อง ทุกคนต่างยินดี และยังจำคำสอนประโยคสุดท้ายจาก ‘คุณสุทธิชัย หยุ่น’ ว่า “เรียนรู้เยอะๆ”
แชร์ประสบการณ์จากเพื่อนนักข่าวบันเทิง
แต่ในปัจจุบันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเสพข่าวเรื่องส่วนตัวของดารามากกว่าเรื่องผลงาน สังเกตได้จากยอดเข้าชมตามแฟนเพจหรือเว็บไซด์ต่างๆ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวคนมักจะให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมาก ถูกนำมาพูดถึงกันในวงกว้าง แต่ถ้ามีข่าวเรื่องดีดี ใครไปทำอะไรดีดีมา มักจะไม่ค่อยได้รับความสนใจ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมปัจจุบันจึงมีแต่ข่าวด้านลบออกมามากว่าข่าวดีๆ บางครั้งไปถามดาราเรื่องข่าวเสียหาย เคยโดนเหวี่ยง โดนจิก ก็โดนมาหมดแล้ว ช่วงแรกๆ นอยด์หนักมาก แต่โดนบ่อยๆ ก็ค่อยๆ ชินไปเอง แต่นั่นก็ทำให้เราได้รู้จักดาราในอีกมุมที่คนภายนอกไม่ได้เห็น….และถ้าดาราที่เราปลื้ม นิสัยดีด้วยแล้วล่ะก็ เราจะยิ่งรักและเอ็นดูเค้ามากขึ้นด้วย แต่ไม่ว่าอาชีพนักข่าวบันเทิงจะโดนคนด่าหรือไม่ชอบยังไง แต่ตอนนี้ขอบอกว่าหลงรักอาชีพนี้มากๆ และภูมิใจกับการเป็นนักข่าวบันเทิงมากด้วย”