จบสักทีมหากาพย์หนังคนเหล็ก 30 ปีเต็ม ปิดฉากความบู๊ระห่ำได้สะใจกับ Terminator Genisys : คนเหล็ก 5 มหาวิบัติจักรกลยึดโลก

ก่อนจะพูดถึงตัวหนังจริงๆ ผมขอพูดถึงที่มาที่ไปคร่าวๆของหนังคนเหล็กให้อ่านก่อน เพราะผมเชื่อว่าหลายคนดูแล้ว อาจมีอาการมึนงงเรียงลำดับเหตุการณ์จับใจความไม่ถูก …

ภาคแรกปี 1984 ระบบคอมพิวเตอร์ Skynet ยึดครองโลกในอนาคต (ปี 2029) ส่งหุ่นยนต์ T-800 (Arnold Schwarzenegger) มาฆ่า Sarah Cornor ซึ่งตอนนั้นเธอยังเป็นแค่สาวเสิร์ฟ สาเหตุของการสังหารเพราะเธอคือผู้ให้กำเนิด John Connor ผู้นำทหารล้มล้าง Skynet ในอนาคต และตัว John Connor (ในอนาคต)ก็ส่ง Kyle Reese ทหารอาสาสมัครเพื่อข้ามเวลามาช่วย Sarah Connor แล้วทั้งคู่ก็รักกันได้เสีpมีลูก แต่สุดท้าย Klye เสียชีวิตเพราะระเบิดตัวเองเพื่อทำร้ายหุ่นยนต์ T-800

ภาค 2 (1991) John Connor ส่งหุ่นยนต์ T-800 ที่ยึดได้แล้วเซตโปรแกรมใหม่ให้มาช่วยแม่และตัวเขาเองในวัยเด็ก ไม่ให้ถูกหุ่นยนต์ T-1000 รุ่นใหม่ที่หลอมละลายเปลี่ยนรูปทรงได้ที่ถูกส่งมาจาก Skynet เพื่อสังหารเขาและแม่นั้นเอง ซึ่งภาคนี้ Sarah ได้รับการบำบัดจากอาการทางจิตและได้ฝึกวิชาทหาร สุดท้ายสู้กันจนทั้งคู่ปลอดภัย

ภาค 3 (2003) หลังจากปี 1997 ต้องเป็oวันสิ้นโลก แต่เมื่อเหตุการณ์จาก 2 ภาคแรก ทำให้ไทม์ไลน์เปลี่ยน จนปี 2004 (เหตุการณ์ 10 ปีหลังจากภาค 2) Skynet ได้ส่งหุ่นยนต์ TX พัฒนาจาก T-1000 รูปร่างเป็นผู้หญิง เพื่อมาสะสางคนที่เกี่ยวข้องกับ 2 ภาคแรก โดยเฉพาะ John Connor และ Kate Brewster อีกตัวละครคือแฟนของจอห์น แล้วคนเหล็กก็ถูกส่งมาช่วยอีกครั้ง แต่ภาคนี้ Skynet สามารถยึดครองโลกได้ เพราะพ่อของ Kate เป็นผู้อำนวยการฝ่ายโปรแกรม CRS สถาบันวิจัยไซเบอร์ ดูแลระบบ Skynet และเขาเองเป็นคนที่กดปุ่มสั่งให้ Skynet ควบคุมคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเพื่อฆ่าไวรัส ส่งผลให้ Skynet ยึดกองทัพและยิงระเบิดทำลายโลก โดย John และ Kate ได้หลบภัยในยอดเขาคริสตัล สุดท้ายวันพิพากษาได้เกิดขึ้นในภาคนี้

ภาค 4 (2009) Marcus Wright  นักโทษประหารที่บริจาคร่างกายตัวเองก่อนจะตาย … หลังจากวันพิพากษา Skynet ต้องการกำจัดกลุ่มคนที่หลงเหลืออยู่ เลยจับตัว Kyle Reese (วัยรุ่น) เพื่อล่อให้ John Connor ออกมา แต่ก่อนที่จะถูกจับตัว Kyle ได้เจอกับ Marcus Wright หุ่นยนต์ที่ถูกเซตมาให้ตีสนิทกับมนุษย์(Marcus ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์)  หลังจาก Marcus เจอสาวนักบินกลางทะเลทราย เธอได้พาเขากลับฐานทัพ จนเขาโดนระเบิดแล้วสลบไป ทำให้รู้ว่าตัวเขาเป็นหุ่นยนต์ และถูกจับตัวไว้ สุดท้ายได้รับการช่วยเหลือจากสาวนักบิน แล้ว Marcus ตาม John Connor ไปช่วย Kyle ที่ถูกจับตัวไว้ใน Skynet เขาสามารถเข้าไปในนั้นได้เพราะเป็นหุ่นยนต์ จนรู้พิกัดสามารถเรียกให้ทุกคนเข้ามาช่วย จุดนี้เองทำให้ Marcus รู้ว่า ภารกิจของเขาคือทำให้ทุกคนเข้ามาติดกับใน Skynet … John กับ Marcus สู้กับหุ่นยนต์ T-800 เป็นที่มาของแผลเป็นบนหน้าของ John และถูกแทงทะลุลำตัว  Marcus ได้บริจาคหัวใจให้ John สุดท้าย John ยังคงเป็นผู้นำต่อสู้กับ Skynet ต่อไป

แค่อ่านทั้ง 4 ภาคก็จะเป็นลมล่มพับกันเอง เอาเป็นว่า Terminator Genisys ขมวดทุกปมไม่ต้องเล่ากันยาว ต้นเหตุเกิดที่ Kyle Reese กับ Sarah Connor ได้เสียจนมีลูก ก็กลับไปแก้กันตรงนั้น (จะห้ามไม่ให้เขาได้กัน) แล้วการเดินทางย้อนเวลาไปอดีตและข้ามเวลาไปในอนาคต เพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้โลกรอดพ้นจาก Skynet ได้ยังไง ก็ต้องมาลุ้นกัน แต่ภาคนี้ Skynet กลับมาในชื่อระบบคอนพิวเตอร์อัจฉริยะ Genisys นั้นเอง (เป็นที่มาของชื่อภาคนี้)

ภาคนี้ได้การกำกับโดย Alan Taylor ที่ฝากผลงานเด่นๆอย่าง Thor: The Dark World ซึ่งถือว่าทำได้ดี สนุกระทึก แต่ถามว่าโดดเด่นจนเป็นสไตล์ไหม ก็ไม่ถึงขึ้นนั้นครับ ส่วนเนื้อเรื่องกระชับรวบรัดตัดไว (ซึ่งควรที่จะรู้แบคกราวน์ของภาคอื่นๆไว้บ้างจะดีมากๆ) และจุดเด่นของภาคนี้เลยคือ John Connor ที่พลิคมาเป็นผู้ร้ายเสียเอง (ทั้งๆเป็นตัวละครพระเอกทั้ง 4 ภาค) ส่วนงานด้าน CG ได้มาตรฐานฮอลีวู้ดครับ

มาพูดถึงตัวนักแสดงกันบ้าง ต้นฉบับคนเหล็กอย่าง Arnold Schwarzenegger พูดสั้นๆแค่ “แก่แต่เก๋า” ส่วน Emilia Clarke (Game of Thrones) รับบท Sarah Connor ถือว่าแสดงได้ดี บู๊ระห่ำ ดูแล้วอินกับนางมาก มีความหวานและเข้มแข็งไปในตัว อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ  Jai Courtney เป็นตัวร้ายในหนัง Divergent มารับบท Kyle Reese ในเรื่องนี้ แฟนๆได้เห็นหุ่นล้ำๆ โชว์ซิกแพ็คหลายฉากเลยครับ

สุดท้าย Terminator Genisys ถือว่าเป็นภาคจบของตำนานคนเหล็กที่ยาวนาน 30 ปีเต็มๆก็ว่าได้ แต่เนื้อเรื่องจะจบยังไง ก็ต้องไปติดตามเอาเอง สนุกระทึก จังหวะตื่นเต้นเรียบเรียงดีมากๆ เป็นหนังใหญ่ที่คุณไม่ควรพลาด … (ดู 3D มันส์มาก)

Alan Taylor ผู้กำกับ และนักแสดง ในรอบพรีเมียร์ที่ Los Angeles

.

ติดตามเพจผมได้ที่

https://www.facebook.com/NightPhoominOfficial

Instagram: @nightphoomin

Twitter: @nightphoomin