[Review] The Hunger Games: Catching Fire

กว่าจะได้มาเขียนรีวิวหนังที่กำลังร้อนแรงทั่วโลกอยู่ตอนนี้ก็ปาเข้าไปหลังฉายมา 1 สัปดาห์ล่ะ แต่ก็โอเคนะ เพราะทำให้เราได้ยินหลายความคิดเห็นจากคนดู บางคนก็บอกว่าโอเค บางคนก็แทบจะส่ายหัว เพราะประทับใจภาคแรกบู๊ระห่ำซัมเมอร์เซลล์แบบนั้นมากกว่า…

.

เข้าเรื่องเลยละกัน ไนท์เป็นคนหนึ่งที่ได้อ่าน The Hunger Games จบแล้วทั้ง 3 เล่ม ต้องขอบอกว่า สำหรับเล่ม 2 หรือภาค 2 ที่เราได้ดูๆกันแล้ว เป็นส่วนที่พูดถึงความขมขื่นในใจของแคตนิสที่ทุกข์ทรมานกับเหตุการณ์ที่สุดรันทด ไหนจะเรื่องของชาย 2 คนที่รักตนอีก ที่สำคัญความเหี้ยมโหดของประธานาธิบดีที่บีบบังคับเธอให้ทำตามสิ่งที่เขาต้องการ ทั้งหมดนี้เองเป็นสิ่งที่แคตนิสไม่สามารถบอกเล่ากับใครได้โดยละเอียด มันทำให้ภาคนี้ลงลึกถึงอารมณ์ตัวละครมากขึ้น รวมถึง เกล, พีต้า ครอบครัวของแคตนิส ไปจนถึงประชาชนในเขตต่างๆที่ไม่ยอมทนต่ออำนาจของแคปิตอลอีกต่อไป

.

บทหนังได้ตัดรายละเอียดย่อยๆที่เป็น Hint สำคัญ เพื่อให้หนังกระชับมากขึ้น และไม่สปอยคนดู เช่น คนเดินป่าที่หนีไปหาเขตใหม่แล้วบังเอิญเจอแคตนิส, วิดีโอที่แคปิตอลเปิดวนไปวนมาถึงการล้มสลายของเขต 13 รวมถึงผู้คุมเกมส์โชว์นาฬิกาให้ดูเพื่อบอกใบ้ลักษณะเกมส์ในปีนี้ เป็นต้น

.

ส่วนข้อดีที่เห็นชัดๆในภาคนี้ ด้วยงบประมาณการสร้างที่สูงถึง 130 ล้านดอลลาร์ (ภาคแรกแค่ 80 ล้านดอลลาร์) ทำให้ผู้ชมได้เห็นภาพกว้างของแคปิตอลและเขตต่างๆที่มีสภาพของภูมิประเทศที่ต่างกันมากขึ้น รวมถึงเสื้อผ้าหน้าผมนักแสดงที่จัดหนัก จัดเต็ม สมกับที่นิยายได้บรรยายไว้ไม่มีผิด สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นมิติของสังคมที่เกิดขึ้นในหนังเพิ่มมากขึ้นนั้นเอง และแน่นอนว่า นางเอกของเรื่อง Jennifer Lawrence หลังจากคว้ารางวัลออสการ์ ค่าตัวภาคแรก 500,000 ดอลลาร์ ก็พุ่งสูงเป็น 10,000,000 ดอลลาร์ ทันที 

.

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม สำหรับภาค 2 นี้ ไม่ได้บู๊สุดขั้วและไม่ได้ดราม่าสุดขั้วอีกเช่นกัน เป็นเหตุการณ์เรื่องราวที่ปูไปยังภาค 3 ที่ความคับแค้นใจของประชาชนที่สุดทนต่ออำนาจชั่วร้ายกดขี่ประชาชน สู่การต่อสู้เพื่ออิสรภาพที่แทนจริงจะเกิดขึ้นในภาคนี้อีกด้วย … สำหรับภาค 3 เวอร์ชั่นภาพยนตร์ จะถูกแบ่งเป็น 2 part นะครับ และแน่นอนแล้วว่า Julianne Moore จะมารับบทประธานาธิบดีผู้นำเขต 13