จากเมืองที่ต่างชาติยกย่องให้เป็น “ไข่มุกแห่งเอเชีย” กลับกลายมาเป็น “นรกบนดิน” ที่น่ากลัว เดินทางย้อนไปสู่จุดตกต่ำที่สุดของประเทศกัมพูชา โดยการไปเที่ยวชม ทุ่งสังหารและคุกโตลสเลง กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
รีวิว: ทุ่งสังหาร-คุกโตลสเลง แบบ Travel Vlog
(คลิกชม Youtube)
ข้อมูลการท่องเที่ยว ทุ่งสังหาร-คุกโตลสเลง
รีวิวที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้ เป็นการเดินทางท่องเที่ยว พนมเปญ-โฮจิมินห์ ทริป 5 วัน 4 คืน เราเริ่มวันแรกโดยการบินตรงไปยังสนามบินกรุงพนมเปญในตอนเช้า หลังจากซื้ออินเตอร์เนทซิมการ์ดบริเวณทางออกของสนามบิน ราคาถูกมากแค่ 70 บาท (คลิก >>> รีวิวซื้ออินเตอร์เนทซิมการ์ดกัมพูชา) เราก็หารถแท๊กซี่แบบครึ่งวันหรือเต็มวัน เพื่อเดินทางไปยังทุ่งสังหาร ที่ต้องเดินทางไปทางใต้ของเมืองราว 10 กม.
ซึ่งราคาแท็กซี่แบบครึ่งวัน ไปรับที่สนามบิน แล้วไปทั่งสังหาร+คุกโตลสเลง ราวๆ 4-5 ชม. ราคากลางอยู่ที่ $40 นอกจากนี้ยังมีตุ๊กตุ๊กที่ให้บริการราคาย่อมเยาว์กว่า แต่ผมไม่แนะนำ เพราะเดินทางไกล อากาศร้อนและมีฝุ่นควันครับ
ก่อนที่เราจะไปเยี่ยมชมทุ่งสังหารกับคุกโตลสเลง เรามาทำความเข้าใจเหตุการณ์อันโหดร้ายที่ถือว่าเป็นยุคตกต่ำที่สุดของประเทศกัมพูชา จากสมญานามที่ชาวต่างชาติยกให้เมืองนี้คือ “ไข่มุกแห่งเอเชีย” กลับกลายเป็น นรกบนดินที่น่ากลัว และนี้คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เหี้ยมโหดที่สุดในเอเชีย … ย้อนไปเมื่อพุทธศักราช 2518-2522 ตลอด 4 ปีที่เขมรแดงเรืองอำนาจได้ฆ่าคนกัมพูชาด้วยกันเองกว่า 2 ล้านคน โดยสมัยนั้นประชากรทั้งประเทศราวๆ 7 ล้านคนเท่านั้น ผู้นำของกลุ่มเขมรแดงคือนายพอล พต ที่มีความเชื่อทางการเมืองแบบคอมมิวนิตส์ซ้ายจัด ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากตอนที่เขาเดินทางไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส หลังจากเขมรแดงก่อรัฐประหารและยึดกรุงพนมเปญได้สำเร็จในวันที่ 7 เมษายน 2518 พวกเขาได้สั่งฆ่าราชวงศ์ กลุ่มปัญญาชน ร่วมถึงชาวต่างชาติ ที่พวกเขาคิดแล้วว่าจะเป็นภัยแก่กลุ่มตัวเอง โดยขับไล่คนออกจากเมืองหลวงไปอยู่ชนบท ปิดประเทศเพื่อปรับเศรษฐกิจเป็นแบบสังคมนิยมพึ่งตัวเอง กลับคืนสู่ประเทศเกษตรกรรมแบบเบ็ดเสร็จ โดดเดี่ยวประเทศไม่พึ่งต่างชาติ ยกเลิกระบบธนาคาร เงินตรา ปิดโรงพยาบาลและโรงเรียน ประชาชนต้องทำงานตลอด 9 วัน วันละ 11 ชม. ส่วนวันที่ 10 ต้องฟังปราศัยของกลุ่มคอมมิวนิสต์ ใครป่วย ทำงานช้า โดนลงโทษเอาถึงชีวิต ฉะนั้นคุกโตลสเลงคือสถานที่คุมขับนักโทษที่กลุ่มเขมรแดงเห็นว่าพวกเขาเป็นศัตรู เป็นสถานที่ทรมานและเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยม และทุ่งสังหารก็คือสถานที่ที่หลอกนักโทษมาฆ่าหรือฆ่ามาแล้ว นำมาฝั่งที่นี้ นอกจากนี้ตามเมืองอื่นๆก็มีหลุมฝั่งศพชาวกัมพูชาในช่วงสงครามเขมรแดงอีกหลายแห่งครับ
จากสนามบินผ่านถนนราดยางอย่างดี แต่จะมีการจราจรที่ติดขัดบ้างจากรถจักรยานยนต์ เราใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึง ทุ่งสังหาร หรือ Killing Fields ซึ่งในภาษาเขมรเรียกว่า Choeung Ek (จึงเอ๊ก) เราเดินผ่านประตูเพื่อเข้าไปซื้อตั๋วราคา $6 พร้อมรับ Audio Tour เพื่อฟังคำบรรยายตามจุดต่างๆ ที่นี้เปิดเวลา 7.30-17.30น. ทุกวันครับ
จากทางเข้าเป็นถนนมุ่งตรงไปสู่อนุสรณ์สถานแห่งความทรงจำทุ่งสังหาร กะโหลกมนุษย์ราว 8,000 ศพ ผ่านการชันสูตรแล้วว่า เป็นเพศชายหรือหญิงและเสียชีวิตด้วยสาเหตุอะไร โดยจะมีจุดสีและคำอธิบายประกอบอยู่ รวมถึงการจัดแสดงอุปกรณ์ในการทำทารุณกรรมอีกด้วย และด้านหน้าอนุสรณ์สถานมีข้อความให้เราไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตมากกว่า 2 ล้านคน ถูกสังหารภายใต้อำนาจของนายพอล พต ผู้นำเขมรแดง
ถัดมาทางขวามือคื ทางเดินให้เราเยี่ยมชมตามจุดต่างๆ เพื่อย้อนอดีตถึงความโหดร้ายที่เคยเกิดขึ้นในบริเวณนี้ รวมถึงกลุ่มฝั่งศพที่อัดแน่นถึง 450 ศพ ถือว่าเป็นหลุมที่ใหญ่ที่สุด และรอบๆบริเวณนี้ยังเห็นหลุมอยู่มากมาก ซึ่งแสดงว่าเป็นหลุมฝั่งศพที่ถูกขุดแล้วนั้นเอง
ส่วนด้านหลังเป็นแอ่งน้ำ ที่ให้นักท่องเที่ยวไปหยุดพักแล้วใช้เวลานี้ คิดถึงเหตุการณ์ที่โหดร้ายของทุ่งสังหารแห่งนี้ รวมถึงต้นไม้ที่น่าเศร้าสลดต้นหนึ่งของโลก เพระาเป็นต้นไม้ที่เอาไว้สังหรณ์เด็ก โดยการจับขาแล้วฟันกับต้นไม้ ส่วนศพก็โยนลงหลุมข้างๆกัน โดยหลุมนี้จะมีแต่ผู้หญิงและเด็ก ซึ่งแน่นอนว่าเด็กๆเหล่านั้นคือลูกของเธอ แล้วผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ตายในหลุมนี้ จะถูกข่มขืนแทบทั้งสิ้นครับ
ถัดออกมาไม่ไกลจากต้นไม้สังหรณ์ คือต้นโพธิ์ต้นใหญ่ ซึ่งมีความสำคัญคือ เอาไว้แขวรลำโพงกระจายเสียง เพื่อเปิดเพลงปลุกใจกลับเสียงร้องโหยหวนของผู้ที่ถูกพามาสังหรณ์ที่นี้ครับ นอกจากนี้ตามบริเวณพื้นยังมีซากกระดูกมนุษย์ที่กองอยู่ตามพื้นอีกด้วย
จากทุ่งสังหาร เราก็เดินทางเข้าเมืองพนมเปญอีกหน่อย จุดหมายปลายทางคือ “คุกโตลสเลง” หรือปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โตลสเลง มาถึงที่นี้เราจะเจอกันนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากมาย ทุกคนต่างมาเยี่ยมเยือนประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ค่าเข้า $3 ส่วนเด็กเข้าฟรีครับ เปิดเวลา 7.00-17.30น.
คุกโตลสเลง หรือชื่อเรียกย่อๆว่า S21 หรือ Security Office 21 เคยเป็นโรงเรียนมัธยมก่อนที่จะกลายเป็นคุกที่คุมขังศัตรูทางความคิดของกลุ่มเขมรแดง มีอาหารใหญ่ 2 หลังไว้คุมนักโทษ ที่เคยล้อมรอบด้วยลวดหนามไฟฟ้าเพื่อกันการหลบนี้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ถูกส่งมาที่นี้คือ ปัญญาชนหรือผู้มีความรู้ เช่น ราชวงศ์,หมอ,อาจารย์,อัยการ,ทหาร, วิศวกร, ช่าง หรือแม้แต่คนที่ใส่แว่นก็ถูกสงสัยว่ามีความรู้ จะถูกส่งมาคุมขังในนี้แห่งนี้ คุกโตลสเลงมีคนผ่านเข้ามามากกว่า 15,000 คน และมีผู้รอดชีวิตเพียง 3 คนเท่านั้น
อาคารแรกซ้ายมือจากทางเข้า คือห้องคุมขังนักโทษ ห้องหนึ่งจะขังราว 50-60 คน โดยมีโซ่ตรวนล่ามไว้ … คุกแห่งนี้มีกฏเหล็กอยู่ 10 ข้อ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องห้ามโกหก ห้ามเสแสร้ง ห้ามต่อต้าน อย่าทำตัวโง่ๆ เวลาผู้ขุมถามต้องตอบทันทีห้ามคิด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีกฏที่รู้ๆกันอีกมากมาย แล้วใครที่ถูกขุมขังที่นี้ จะได้อาหารเพียงข้าวต้ม 3 ช้อนเท่านั้น บางมื้อก็ไม่มี บางคนต้องแอบกินแมลงประทังชีวิตซะด้วยซ้ำ
ส่วนอาคารถัดไป ด้านล่างจัดแสดงภาพถ่ายนักโทษมากมายที่ถูกทำประวัติก่อนที่จะถูกสอบสวน และเกือบทั้งหมดถูกทรมานและสังหาร ณ ที่แห่งนี้ … ภาพที่น่าสลดที่สุดคือ แววตาของหญิงที่อุ้มลูก โดยมีเครื่องช๊อตไฟฟ้าจ่อที่หัว เธอคือ “จันกึมซรุน ซาง” เป็นเขมรเชื้อสายจีนและเป็นภรรยาของอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลลอนนอล (คือรัฐบาลก่อนถูกนายพอล พต ผู้นำเขมรแดงก่อรัฐประหาร) และแน่นอน เธอและลูกถูกสังหารที่นี้ การฆ่านักโทษที่ถูกเชื่อว่าเป็นศัตรูกับกลุ่มเขมรแดง ส่วนใหญ่แล้วจะฆ่าทั้งโคตร เพราะพวกเขาเชื่อว่า จะได้ไม่มีทายาทย้อนกลับมาแก้แค้นพวกเขานั้นเอง
อาคารถัดมา คือห้องเรียนที่ถูกดัดแปลงเป็นขังเล็กๆที่ก่ออิฐและไม้ เพื่อขังนักโทษสำหรับ 4 คน ถัดไปส่วนท้ายของคุกโตลสเลง เป็นอาคารในส่วนของพิพิธภัณฑ์ ที่จัดแสดงภาพและอุปกรณ์การทรมานนักโทษ ดูแล้วช่างโหดเหี้ยมเกินกว่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้ ส่วนทางออกจัดแสดงโกลกของผู้เสียชีวิต และมีเจดีย์สีทองให้เราสงบนิ่งไว้อาลัยแก่ผู้ที่จากไปครับ
ก่อนที่เราจะกลับกัน เราได้เจอ ‘ชุม เมย์’ 1 ในผู้รอดชีวิตจากการเป็นนักโทษในคุกโตลเลง เขาเขียนหนังสือบอกเล่าเรื่องราวอันโหดร้ายที่เข้าต้องพบเจอและเขารอดมาได้จากการที่เขามีความสามารถที่เป็นประโยชน์ต่อเขมรแดง และในปัจจุบันเขาเดินทางมาพบนักท่องเที่ยวเกือบทุกวัน และยังเป็นพยานคนสำคุญในคดีการไตร่สวนเอาผิดผู้นำเขมรแดงที่ยังมีชีวิตอยู่ครับ
ตลอด 4 ปีในยุคเขมรแดงเรืองอำนาจ ฆ่าประชากรในประเทศไปกว่า 2 ล้านคน ซึ่งในยุคนั้นมีประชากรเพียง 7 ล้านคนเท่านั้น หมายความว่า ชาวเขมรแดงเข่นฆ่าขาวเขมรด้วยกันเอง 1 ใน 4 ของประเทศเลยทีเดียว และประวัติศาสตร์ยังสอนให้คนรุ่นหลังรู้ว่า ความรุนแรงไม่ใช่ทางออกขอความสงบสุขหรืออำนาจอย่างแท้จริงครับ
รีวิวหน้าเราจะพาไปเที่ยวภายในเมืองพนมเปญบ้าง ถือแม้ว่าที่นี้จะบอบช้ำจากสงครามเมื่อ 40 ปีก่อน แต่ในปัจจุบันเมืองนี้ได้พัฒนาไปมาก ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ รองจากเมื่อเสียมเรียบ, นครวัดนครธม
Follow Me:
https://www.facebook.com/NightPhoominOfficial
Instagram: @nightphoomin
Twitter: @nightphoomin