แฉ!!! กลลวง สินค้า ตัวแทนฯ รีวิวกากๆ … คนขาดสติเท่านั้นที่เชื่อ!

Nightphoomin, night phoomin, ไนท์ ภูมินทร์, Line@, Line official, lifestyle, men's grooming, grooming, movie, ภาพยนตร์, หนัง, รีวิว, pantip, พันทิป, review, blogger, บล็อกเกอร์, บล็อกเกอร์ผู้ชาย

ติดตาม Facebook Page: https://www.facebook.com/NightPhoominOfficial/ 

อ่านงานรีวิวท่องเที่ยว-การดูแลตัวเอง >>> www.nightphoomin.com

Instagram: @NightPhoomin

.

*คำเตือน: บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัว เป็นแค่เรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงและทางอ้อม ไม่มีเจตนาโจมตีหรือดิสเครดิตสินค้าใดสินค้าหนึ่ง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน!

howtochoosegoodproduct, รีวิว, เครื่องสำอางค์, อาหารเสริม, ครีมบำรุง, บล็อกเกอร์ผู้ชาย, บิวตี้บล็อกเกอร์, บล็อกเกอร์

ในยุคดิจิตอลแบบนี้ ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสิ่งของที่ต้องการได้ง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้วผ่านมือถือหรือคอมพิวเตอร์ แต่สิ่งที่แทบไม่ได้ตามมากับเทคโนโลยีคือ “สติ” กับ “วิจารณญาณ” ในการซื้อสินค้า โดยเฉพาะประเภทเครื่องประทินผิว รวมถึงอาหารเสริมต่างๆ ซึ่งบทความนี้ขอ “แฉ” ทุกกลยุทธ์ที่จะล่อลวงให้คุณต้องเสียเงินแบบขาดสติ!

 

ใครๆก็ขายครีม-อาหารเสริม มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?

อย่าแปลกใจว่า เซเลบดาราไปจนถึงเนทไอดอล ใครๆก็มาจับธุรกิจความสวยความงาม ด้วยหน้าตาภาพลักษณ์ เรียกง่ายๆว่า “ขายหน้าได้” จนมียอดคนตามเยอะหน่อย ก็อาศัยช่องทางนี้ “กอบโกย” บางคนทำเป็นธุรกิจจริงจัง บางคนลงสนามนี้แค่เทกระจาด รวยแล้วเลิกมีเยอะไป … ขั้นตอนไม่ยากเลย แค่เดินไปที่โรงงาน ซึ่งโรงงานผลิตมีทุกขั้นตอนรองรับตั้งแต่วัตถุดิบ, แพ็กเกจ ไปจนถึงออกขายเลยด้วยซ้ำ ถ้าคิดเอาง่ายๆก็ทำๆไป อาศัยกระแสตัวเอง แต่บางคนก็พิถีพิถันทำจริงจัง จนออกมาได้ของดีมีคุณภาพ จะมองว่าง่ายก็ง่าย ยากก็ยาก ขึ้นอยู่เจตนาของคนทำมากกว่า 

ลงทุนเยอะขนาดไหน?

มันก็มีหลายโมเดลนะ ยกตัวอย่าง มีนายทุนออกเงินให้ ดารา-เนทไอดอล ออกหน้าขายไป เงินไม่ต้องควัก ได้ส่วนแบ่งกันแบบ 50/50 ก็มี หรือบางคนลงทุนทำเองขายเองก็มี ส่วนลงทุนจะถูกจะแพง ขึ้นอยู่ว่าทำอะไร ปริมาณมากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญอย่าลืมว่า มันต้องมีต้นทุนด้านแรงงาน, ค่ามาร์เก็ตติ้ง, ค่าประชาสัมพันธ์ อีกด้วย

ราคา เรื่องใหญ่มาก!

การตั้งราคาขายมันก็มีสูตรง่ายๆ ประมาณนี้ ต้นทุน+ต้นทุน(ส่วนของกำไร)+margin(ประมาณ 40% จากราคาขายจริง)+marketing 20% เช่น 200+200+400+200 = ราคาขายจริงประมาณ 1,000 บาท และหน้ากล่องจะบวกเพิ่มไปอีก เผือขายต่างชาติ หรือทำโปรส่วนลด ฉะนั้นหน้ากล่องจะไปจบที่ 1,200-1,500 แล้วแต่ (เรื่องใหญ่ยังไง อ่านต่อไป)

Margin เอาไปทำอะไรได้?

ว่าง่ายๆ ก็คล้ายๆส่วนแบ่งกำไร สินค้าไหนอยากเข้าร้าน Modern Trade หรือร้านขายยา รวมถึงหนังสือแคตตาล็อกต่างๆ ก็ต้องเสีย  margin ประมาณ 40% ยกตัวอย่าง ของ 1,000 บาท ราคาส่ง 600 บาท ในส่วนต่าง 40% เป็นค่าขนส่ง,ค่าวางของ ไปจนถึงจบกระบวนการต่างๆ เรามีหน้าที่เอาของไปส่งที่คลังสินค้าเท่านั้น … ***ตรงจุดนี้แหละที่สำคัญ บางแบรนด์ไม่คำนึงถึงส่วนต่าง margin ถ้าของแพงตั้งแต่ต้นทุน อยากขายของได้รายได้ระดับ Mass แต่ราคาแพง Premium มาก พังครับพัง 

ไม่มีค่า Marketing ใครจะไปรู้จัก?

ทำของออกมาขาย ไม่มีการประชาสัมพันธ์ ไม่ทำแผนการตลาด ใครจะรู้จัก แล้วมันจะขายได้ไง หลายแบรนด์ทำของมาอย่างดี ตกม้าตายตรงนี้ ไม่มีเงินทำโฆษณา จบกันงานนี้ ทำเองเชียร์เอง ขายเองแน่ๆ … หรือบางแบรนด์มีเงินอยู่ก้อนนึง ไม่รู้จะทำอะไร จ่ายดาราโพส Instagram ตัวแม่ๆหน้าเดิมๆ ราคา 50,000-100,000 บาท วางข้างๆตัว ไม่ถือของ จ้าง 3 คน เงินหมด ผลที่ได้ ได้ eyeball มีคนเห็นนะ แต่ไม่มีคนซื้อ จบกัน! ยิ่งมีเงินน้อยต้องคิดให้มาก 

กลลวงตัวแทนจำหน่าย 

ดอกจันให้ตัวใหญ่ๆเลยจุดนี้!!! *** ราคาของพัง พังตรงนี้ … เรียกง่ายๆ “เจ้าของผลิตภัณฑ์ปวดหัว ตัวแทนยืนยิ้ม” มีเยอะแยะไป โดยเฉพาะตัวแทนรายใหญ่ที่ผูกขาดสินค้า จะเล่าให้ฟัง พอเราทำสินค้าเสร็จปุ๊บ ก็ต้องมานั่งคิดเรื่อง “ช่องทางการจัดจำหน่าย” คุณจะไปลง Modern Trade หรือจะไปตัวแทนจำหน่าย ที่เป็นร้านขายครีม-อาหารเสริม ตามตลาด-ห้าง หรือจะเป็นตัวแทนออนไลน์ หรือคุณจะขายเอง ก็แล้วแต่ว่าไป ถ้าคุณขายเองหรือขายกับ Modern Trade ไม่ค่อยมีปัญหาปวดหัว เพราะเขามีเงื่อนไขของตัวเองเป็นทางการอยู่แล้ว แต่ในกรณีตัวแทนจำหน่าย คุณต้องแบ่งเกรดตัวแทน ยกตัวอย่าง VIP ซื้อ 500 กล่อง ขึ้นไป ได้ราคาดีสุด ของขาย 1,000 คุณได้ราคาส่ง 450 เป็นต้น, ตัวแทนปกติ 300 กล่องขึ้นไป ส่ง 500 บาท นี่ไม่รวมโปรโมชั่นนะ เช่น ทุกๆ 400 กล่อง ได้ราคาส่งและยังได้แถมอีก 50 กล่อง 

มันละซิ ราคาก็ลด ของแถมก็ได้ มันเลยเกิดเหตุการณ์ “ขายตัดราคา” ยกตัวอย่าง  แม่ค้า ก. ขอซื้อแบบเหมา 1,200 กล่อง จ่ายสด! เงินก้อนแบบนี้ ทำไมเจ้าของแบรนด์ถึงจะไม่ชอบ ก็ยอมขายไป สมมติ กล่องละ 450 บาท รวม 540,000 บาท เบ็ดเสร็จของแถมด้วยเป็น 1,350 กล่อง แล้วแม่ค้า ก. ก็เอาไปปล่อยตามร้านเล็กๆอีกทีในราคา 500 บาท ขายไป 1,080 กล่อง = 540,000 บาท ณ จุดนี้!!! แม่ค้า ก. ได้ต้นทุนคืนแล้วนะ เหลืออีก 270 กล่อง ขายต่ำกว่าเจ้าของแบรนด์ไปเลย แค่ 400 บาท สรุปแม่ค้า ก. ได้กำไร 108,000 บาท หรือคิดอีกสูตรเอาง่ายๆ เอา 1,350 กล่อง มาเฉลี่ยขายกล่อง 500 บาท รวม 675,000 บาท กำไรเห็นๆ

***คิดดูเล่นๆ ราคาที่เจ้าของแบรนด์กำหนด 1,000 บาท/กล่อง จะพังไหมถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ตอบสั้นๆ พัง! ตัดราคากันสนุกแน่***

ในมุมกลับกัน ตัวแทนจำหน่ายที่ขายตามนโยบายของเจ้าของแบรนด์ก็มีอยู่ แต่ขึ้นอยู่กับว่า คุณเองจะมีมาตรการรองรับอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ … เท่านั้นเอง

ทำยอดได้ พาไปเที่ยวไหน รีบบอก!

ถ้าคุณเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายในส่วนของตัวแทนจำหน่าย ข้อดีคือ “เงินได้ไว” แต่หนีพ้นการ “เอาใจ” ไม่ว่าจะเป็นของแถม ส่วนลด มอบทอง พาเที่ยว! ตัวหลังนี้แหละจะชี้วัด เพราะในแต่ละปี สินค้ามีเป็นร้อยอย่าง จะพาไปไหนโปรดแจ้ง ร้านค้าจะได้ทำยอดถูก ยกตัวอย่าง ครีมทาหน้า A จัดโปรทำยอด 1,000,000 บาท ได้ตั๋ว 1 ใบ เที่ยวปารีส ส่วนครีมทาหน้า B จัดโปรทำยอด 900,000 บาท พาไปสวิตเซอร์แลนด์ … สมมติ ร้านค้า ฉ. อยากไปเที่ยวปารีส ก็จะรับครีมทาหน้า A มาขาย ดันยอดจนสุด เชียร์ให้ขาดใจ จนทำยอดได้ พอหมดปีก็จะเป็นแบบนี้อีก เป็นต้น (กรณีนี้ทั้งครีม-อาหารเสริม) เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจว่า ร้านค้าตัวแทนที่ขายของประเภทแบบนี้ ถ้าไม่ใช่ร้านใหญ่จริงๆ ทำไมไม่มีสินค้า(target เดียวกัน)วางขาย คิดง่ายๆคือจำกัดแบรนด์ที่ขายเพื่อทำยอดให้ถึง เป็นต้น 

กรณีนี้รวมถึงการทำยอดแจกรถแจกทองด้วย

ตัวแทนจำหน่าย(รายใหญ่) ขอเป็น Distributor ซะเอง

ส่วนใหญ่จะเป็นกับสินค้าดาราที่เพิ่งลงมาเล่นในสนามนี้ มันก็ดูจะหวังดีหรอกนะ ที่จะช่วยกระจายสินค้าให้ การันตีทำสัญญากันไปเลยว่า เดือนหนึ่งของต้องออก 2,000-3,000 ชิ้น หรือเท่าไหร่ก็ว่าไป แต่เขาต้องได้ราคาที่ส่งที่ถูกมาก แล้วบริษัทห้ามส่งเอง เพราะร้านเขาคือ Distributor สินค้าคุณแล้ว! พูดตามตรงนะ ทำแบบนี้เอากระแส รู้ว่าอะไรฮอตจับก่อนเลย พอ 3 เดือนเริ่มขาลง เทเลยครับท่าน นี้ไงตัวแทนยืนยิ้ม เจ้าของผลิตภัณฑ์ปวดหัว!!!

สินค้าจะขายได้ อย่าลืมร่วมโปร 

Modern Trade ต่างๆ จะมีโปรโมชั่นของแต่ละเดือน ทางบริษัทจะมีเอกสารมาแจ้งล่วงหน้า 2-3 เดือนให้เจ้าของแบรนด์เข้าร่วม ยิ่งเจ้าของแบรนด์ที่มีดาราเป็นเจ้าของ-พรีเซ็นเตอร์ จะได้รับการขอร้องเป็นพิเศษ ยกตัวอย่าง ซื้อ 1 กล่อง โชว์บัตรสมาชิก ลดเพิ่ม 50 บาท ภาระการลดราคาเป็นของเรา แต่สิ่งที่ได้คือ ในโบว์ชัวร์จะมีรูปดารา-สินค้าของเราเด่นเป็นสง่ามากขึ้น เป็นต้น ณ จุดนี้ก็จะวนไปที่การตั้งราคา ถ้าคุณตั้งราคาในการทำ marketing เผื่อมาแล้ว การลดราคาเพื่อเป็นโปรโมชั่นก็คงไม่กระทบอะไรมาก ***ดอกจันตัวโตๆ*** แต่ที่จะกระทบในกรณีที่คุณมีตัวแทนจำหน่ายด้วย เข้าใจไว้ว่า Modern Trade เจ้าหนึ่ง ขอ exclusive โปรโมชั่นสำหรับเดือนนี้ แล้วถ้าราคาตัวแทนยังคงราคาเดิม ตัวแทนก็ต้องโวยซิครับ … งานนี้เคลียร์กันเองนะ ย้อนกลับไปอ่านด้านบน แล้วตั้งสินใจเอาอีกทีว่า สินค้าของเรา เหมาะกับช่องทางไหน ทุกช่องทางมีทั้งดีและไม่ดี

รีวิวกากๆ non-sense คนก็(หลง)เชื่อ!!!

ในขั้นต้นขอแยกประเภทกลุ่มคนรีวิวก่อนนะ … เซเลบดารา, บิวตี้บล็อกเกอร์, เนทไอดอล-พริตตี้, คนทางบ้าน

  • เซเลบดารา เรทราคาตั้งแต่หมื่นต้นไปจนหลักแสน รับไม่รับขึ้นอยู่ว่าขัดแย้งกับพรีเซ็นเตอร์ที่รับอยู่ไหม ส่วนใหญ่จะไม่ถือของ วางของไว้ข้างๆตัว โพสลง Instagram เวลา 5 วันแล้วลบรูป อยากได้เพิ่มวัน จ่ายเพิ่ม! ผลที่ได้ ได้ Eyeball คนเห็นเยอะ เป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่คนเชื่อไหม? ไม่ค่อยเชื่อแล้ว! … แต่ดาราคนใช้จริงและแนะนำเองก็มีนะ
  • บิวตี้บล็อกเกอร์ กลุ่มนี้ได้ผลในเชิงได้ความเชี่ยวชาญ เชื่อถือได้ จะหยิบจับอะไรก็ขอลองขอเทสก่อน ดีก็ว่าดี ไม่ดีก็ว่าไปตามนั้น แต่ก็ต้องดูคนด้วยว่าแต่ละคนสไตล์แบบไหนยังไง ข้อด้อยคือ eyeball ไม่ได้เยอะเท่าดาราหรือเนทไอดอล แต่สกิลความน่าเชื่อถือนั้นถือว่าดีที่สุด และถ้าเขียนรีวิวลงบล็อกหรือเวบด้วยแล้ว ช่วยในเรื่องของ  SEO เวลามีคน search หารีวิวใน Google อีกด้วย ในกลุ่มนี้มีทั้งงานจ้างและงานที่ใช้เองจริงๆ สุดท้ายขึ้นอยู่วิจารณญาณของบล็อกเกอร์แต่ละท่าน
  • เนทไอดอล-พริตตี้ บางคนมียอดคนตามเยอะก็เป็นข้อดีในการเข้าถึงคน แต่ได้ในกลุ่มแฟนคลับตามกรี๊ดซะมากกว่า เนทไอดอลหลายคนทำครีมเองรวยไปแล้วก็มี จะใช้เองหรือไม่ใช้นั้น ก็แล้วแต่บุคคล (แต่อย่างที่บอกขั้นต้นว่า การทำครีม-อาหารเสริม มันง่ายมาก) กลุ่มนี้ฟีตแบคกลับมาไว ราคาจ้างถือของเม้าท์มอยไม่แพงมาก ซึ่งสินค้าหลายๆแบรนด์ชอบคนกลุ่มนี้ ยิ่งแบรนด์ตลาดนัดที่เราไม่รู้จัก อย่าง BB ตัว, หัวเชื้อกลูต้า, ครีมครอบจักรวาล108 เป็นต้น แต่อยากจะบอกว่า สินค้าบางตัวขายแบบเทตลาด แล้วตายภายใน 2-3 เดือนก็มีเยอะ (ถ้าสมัยก่อนก็จะเห็นตาม Socialcam ซึ่งตอนนี้เล่นไม่ได้แล้ว เพราะแอพโหลดไม่ได้ และหน้าเวบก็เข้าไปดูไม่ได้ด้วย อาจจะโดนแบนในประเทศไทย)
  • คนทางบ้าน … คุณรู้หรือไม่ 500-1,000 บาท ก็มีคนรับรีวิวแล้ว แค่ถ่ายรูปโพส Before-After ไม่เคยใช้ของนะ แต่ถือของแล้วถ่ายรูปส่งๆมา จบ! ความน่าเชื่อถือแทบไม่มีเลย ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้ใครเป็นคนใช้ คนที่เชื่อส่วนใหญ่เป็นแนวโดนสะกดจิต ไม่มีสติไม่มีวิจารณญาณ

***ดอกจันตัวโตๆ*** ถ้าเจ้าของแบรนด์สินค้าจะใช้ใครรีวิว คิดให้ดีๆว่า สินค้าของคุณ Target แบบไหน อยากให้ใครเห็น ขายใคร แล้วพิจารณาเอาเอง ขึ้นชื่อว่า Influencer แล้ว ก็มีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ “งบ” และ “ความเหมาะสม” ครับ 

ขอร้องเถอะ มีสติกับภาพ Before-After !!!

ยกตัวอย่าง ครีมหน้าขาว ภาพ before ถ่ายรูปแสง under ดำมาก ส่วนรูป after ถ่ายกลางแจ้ง หน้าสว่างมาก แถมผ่านแอพหน้านวลอีก (รีวิวจากพริตตี้เยอะนะ) คุณพระ!!! มีคนเชื่อด้วย อยากถามตรงๆคนที่เชื่อเอาตรรกะอะไรมาคิด! นี่ไม่รวม รีวิวลดความอ้วน ภาพ before ถ่ายมุมตรงๆ ส่วนภาพ after ถ่ายมุมกดจ๋าาาา หน้าชัดๆ เอวอยู่ไกลๆ คุณพระ!!! เอาตรรกะอะไรมาเชื่อภาพรีวิวแบบนี้!!! ความน่าเชื่อถือห่างไกลมาก … ยังไม่รวมบางคน เป็นพวกถูกจ้างรีวิวหน้าประจำ หน้าสิวๆรูปเดิม แต่ทุก 2 เดือน เปลี่ยนแบรนด์รีวิว บ้าไปแล้ว!!! รูปหน้าเหี้ยรูปเดียว แห่รีวิว before ทุกแบรนด์ที่จ้าง เกินไปไหมครับ!

howtochoosegoodproduct, รีวิว, เครื่องสำอางค์, อาหารเสริม, ครีมบำรุง, บล็อกเกอร์ผู้ชาย, บิวตี้บล็อกเกอร์, บล็อกเกอร์ม,review

howtochoosegoodproduct, รีวิว, เครื่องสำอางค์, อาหารเสริม, ครีมบำรุง, บล็อกเกอร์ผู้ชาย, บิวตี้บล็อกเกอร์, บล็อกเกอร์

เจ้าของสินค้าหลง Like ระวังให้ดี!!!

ยอด Like เยอะมันก็ดีอยู่หรอก แต่จะเลือกใครมาเป็น Influencer ดูให้ลึกไปกว่านั้น เช่น ภาพลักษณ์, คุณภาพของผู้ตาม, ความน่าเชื่อถือ เป็นต้น ยิ่งในปัจจุบัน Facebook ลดยอด reach หรือการมองเห็น เพจคนตามหลักแสน คนยังเห็นโพสแค่หลักพันต้นๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องตลกหรือเรื่องในกระแส ยิ่งไม่มีทางที่คนจะ Like หรือ Share เพราะคุณต้องยอมรับว่า สังคมไทยเสพแต่เรื่องตลก, นม, ผี, หวย, หมอดู เรื่องอื่นๆก็ต้องฟลุ๊คหรืออาศัยดวงถึงจะเป็นกระแส ฉะนั้นในกรณีที่มีงบจำกัดเลือกคนที่เหมาะสมหรือเลือกกระจายๆ แล้วคุณเอามาทำ marketing ต่อยอดอีกที เช่น บล็อกเกอร์ที่คุณจ้างงานรีวิว คุณก็เอาเวบของเขามาโฆษณาใน Facebook ต่อ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า การที่คุณจะจ้าง Influencer  แล้วจบไป มันเป็นไปไม่ได้เลย มันอยู่ที่คุณจะต่อยอดยังไงด้วย นอกจากนี้ social ไม่ได้มีแค่ Facebook-Instagram ยังมีกลุ่มคนอีกมากที่เล่น platform  อื่นๆ อย่าง Twitter, Youtube, google+, Pinterest เป็นต้น

บล็อกเกอร์ปลอมก็มีนะ (ต่อเนื่องจากหลง Like)

เอเจนซี่หัวหมอ จับเนทไอดอลมาย้อมแมวเป็นบล็อกเกอร์ ขายงานลูกค้าที่ไม่รู้วัฒนธรรม Social media ไม่รู้ว่า เนทไอดอล กับ บล็อกเกอร์ มีความแตกต่างกันอย่างไร? ลูกค้าเห็นว่ายอด Like เยอะ ก็คงใช้ได้ … ให้ค่าจ้างเอเจนซี่เป็นก้อน แล้วไปกระจาย “บล็อกเกอร์อุปโลกน์” ให้มาร่วมงานหรือถือของแล้วโพส Instagram …  แต่เรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ คนติดตามพวกเธอเยอะจริงๆ แต่พวกเธอไม่ได้เขียน Blog ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรือน่าเชื่อถือเรื่องข้อมูล สรุปว่า เจ้าของแบรนด์เองต้องมีความเข้าใจ ณ จุดนี้ด้วย ไม่งันคงต้องอธิบายกันปากเปียกปากแฉะ ว่าทำไมจ้างบล็อกเกอร์แล้ว ยอดไลค์ไม่เท่าเนทไอดอล ***ก็หลง Like แบบนี้ แบรนด์เลยไม่น่าเชื่อถือ เพราะใช้คนที่เชื่อถือไม่ได้ไง*** 

อย่าเชื่อ Line ฟีคแบ็คจากลูกค้า

เอาง่ายๆเลยนะ แค่มี ไลน์อีกชื่อ พิมพ์เอง capture เอง แค่นั้นก็ได้ แต่จริงๆแล้วก็อาจจะมีลูกค้าคอมเมนท์มาจริงๆแหละ ยังไงแล้วคิดนิดนึง มีวิจารณญาณในการเชื่อด้วย

สินค้ามีเป็นร้อยอย่าง เลือกไม่ถูก! 

มาถึงจุดนี้ “รีวิว” จากคนที่น่าเชื่อถือ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเราจะเลือกใช้อะไรสักอย่าง ในยุคที่ทุกคนใช้สมาร์ทโฟน ผู้ซื้อไม่ใช่แค่อ่านสรรพคุณข้างกล่อง เพราะผู้ซื้อกด google หารีวิวสินค้านั้นๆก่อนที่จะซื้อ เช่น เนื้อครีมเป็นยังไง, ทาแล้วโอเคไหม, อาหารเสริมตัวนี้กินแล้วดีไหม เป็นต้น ถ้าถามว่าจะเลือกใช้อะไร คงขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมกับตัวคุณ เพราะสภาพผิวหน้า สภาพร่างกายของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน จุดนี้ต้องพิจารณากันเองครับ 

อย.ผ่าน แต่ของจริงอาจไม่ผ่าน ***น่ากลัวมาก***

ตอนยื่นเอกสาร-ส่วนผสมต่างๆกับอย. เมื่อผ่านแล้ว สินค้านั้นๆก็จะมาใช้อ้างอิงสินค้าว่าได้รับการรับรอง แต่ใครจะรู้บ้างว่า หลังจากได้อย.แล้ว สินค้านั้นๆ แอบใส่อะไรเพิ่มเติมไปบ้าง??? มันถึงมีข่าวครีมเถื่อน-โรงงานไม่ได้รับมาตรฐาน ให้เราเห็นไงครับ … ถ้าถามว่าเราจะมั่นใจได้อย่างไร จุดนี้คงต้องเป็นเรื่องของความซื่อตรงของแต่ละแบรนด์ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์นั้นๆด้วย เรียกได้ว่า Awareness มาก ย่อมมี Brand Royalty มากตามไปด้วยเช่นกัน

โรงงานได้มาตรฐาน แต่พฤติกรรมไม่ได้มาตรฐาน!!!

พูดง่ายๆ ผลิตของเหมือนกันทุกอย่าง แต่ผลิตเกิน! ขายกันหลังโรงงาน เป็นต้น ถึงแม้ว่าเจ้าของแบรนด์สั่งกล่องไปเป็นจำนวนเท่ารับกลับบริษัท แต่โรงงานอาจจะผลิตแบบไม่ใส่กล่อง แล้วไปขายแยกเอาเป็นซองๆ-แผงๆ ก็มี ปัญหาตรงนี้คงเป็นปัญหาที่ตัวบุคคลในองค์กรแล้วล่ะ ย้ำอีกที ความซื่อตรงในหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญ

__________

***สุดท้าย การซื้อของโดยเฉพาะครีม-อาหารเสริม ที่ขายตามอินเตอร์หรือโฆษณาใน Facebook, Instagram ใช้สติและวิจารณญาณดีๆ หลายแบรนด์มีสินค้าดีได้มาตรฐาน และบางแบรนด์ก็ทำขึ้นมาเป็นกระแสดีบ้างไม่ดีบ้าง ก็ต้องวัดดวงกันไป รวมถึง Influencer ว่าน่าเชื่อถือขนาดไหน เขาได้ลองใช้จริงไหม หรือแค่โปรโมท ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมสักหน่อยก่อนตัดสินใจ และที่สำคัญ ***ดอกจันตัวโตๆ*** ไม่ว่าจะสินค้าอะไรก็ตาม เลือกที่เหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาของคุณ อย่าเพิ่งเชื่อแค่เขาพูดๆกันมา ลองกับตัวสักหน่อย บางคนใช้ดี เราใช้อาจจะเฉยๆหรือบางอย่างคนอื่นเฉยๆ เราอาจจะใช้ดีก็ได้  … ใครอ่านแล้วชื่นชอบ มาตามกันที่เพจของผมได้นะครับ >>> https://www.facebook.com/NightPhoominOfficial

 

***ขอบคุณที่อ่านกันยืดยาว ถ้าบทความนี้เป็นประโยชน์ โปรดแชร์ครับ**

^^ส่วนตัวรับงานรีวิว อยู่ในพื้นฐานใช้งานจริง เชื่อถือได้ ใครสนใจ

nightphoomin@gmail.com ^^

ติดตามเพจผมได้ที่

https://www.facebook.com/NightPhoominOfficial

Instagram: @nightphoomin

Twitter: @nightphoomin

รับการแจ้งเตือน



I'm the creator and producer of a tv show. Also, I work on social media marketing for artists, products and special projects. I love writing- photography and enjoy sharing them on my social media. I like the hit music, good movies, exercise and traveling. This is my blog. I hope you will enjoy it.