“น่าน” อัญมณีแห่งล้านนา เสน่ห์เมืองเล็กๆที่ห่างไกลความวุ่นวาย … (พาเที่ยวแบบ 1 Day Trip)
เมืองน่าน มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 700 ปี เป็นเมืองที่มีความสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรสุโขทัย ตลอดจนการตกอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรล้านนา เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศพม่า เคยเป็นเมืองร้างจากการถูกรุกราน จนในที่สุดผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสยามในสมัยรัชกาลที่ 1 และเมื่อระบบเจ้าครองนครถูกยกเลิกไปในรัชกาลที่ 5 ทำให้นครแห่งนี้ กลายเป็น จังหวัดน่าน ของประเทศไทยในปัจจุบัน
นอกจากนี้ “น่าน” ยังถือว่าเป็นเมืองพี่เมืองน้องกับ “หลวงพระบาง” อีกด้วย ซึ่งระยะการเดินทางไปหามาสู่กันถือว่าไกล และลักษณะภูมิประเทศมีความใกล้เคียงกัน จนทำให้เรารู้สึกได้ถึงความคล้ายคลึงกัน และ 2 เมืองนี้ต้องยุติความสัมพันธ์กันหลังจากถูกแบ่งแยกดินแดนยุคล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส (ลองหาประวัติศาสตร์มาอ่านดู ได้ความรู้ดีครับ)
ผมเคยไปเที่ยวน่านเมื่อนานมาแล้ว สมัยเป็นเด็กๆ ความทรงจำเลือนลางเต็มที จนล่าสุดคุณพ่อของผมบอกว่า อยากไปไหว้พระที่เมืองน่าน ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว ได้ไปไหว้พระขอพรและสัมผัสบรรยากาศอันเงียบสงบของเมืองน่านครับ
การเดินทางไป “น่าน”
-
เครื่องบิน ลงที่สนามบินน่าน ไป-กลับ ประมาณ 3,000 บาท ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 20 นาที
-
รถทัวร์จากหมอชิต ราคา 550 บาท(เที่ยวเดียว) ใช้เวลา 10 ชม.
-
รถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ วิ่งบนถนนพหลโยธิน ผ่านอยุธยามุ่งหน้าอุตรดิตถ์ เมื่อถึง 3 แยกอำเภอเด่นชัย ให้เลี้ยวขวา ขับตรงยาวผ่านจังหวัดแพร่ ไปจนถึงน่าน ใช้เวลาประมาณ 8-9 ชั่วโมง
ผมเดินทางออกจากบ้านที่จังหวัดพิษณุโลกพร้อมครอบครัวตั้งแต่เช้า โดยมีลมหนาวทักทายเราตลอดทาง ก่อนที่เราจะเดินทางถึงเมืองน่าน เราตั้งใจแวะอุทยานแห่งชาติขุนสถาน เพราะที่นี้เป็นอีกที่หนึ่งที่สามารถชมทิวทัศน์ของขุนเขาและสายหมอก ที่สำคัญที่ต้นนางพญาเสือโคร่งที่กำลังออกดอกเต็มที่ในช่วงนี้ (ช่วงสัปดาห์ที่ 2-4 ของเดือนมกราคม) ซึ่งถ้าคุณนำรถส่วนตัวมา จะมาที่นี้ง่ายหน่อย จากถนนหลักขับขึ้นมาลัดเลาะไต่ทิวเขาไปเรื่อย นอกจากสายหมอกที่เย็นตาแล้ว เรายังสังเกตเห็นไร่สตรอเบอรี่เป็นระยะๆอีกด้วย
ส่วนบริเวณที่มีต้นนางพญาเสือโคร่งเยอะที่สุด อยู่ตรงจุดทางขึ้น สถานีต้นน้ำขุนสถาน เราจอดรถกันบริเวณนี้และถ่ายรูปกันจนพอใจ สังเกตว่า ต้นนางพญาเสือโคล่งหลายต้น ดอกไม้ได้ร่วงโรยไปแล้ว เนื่องจากปีนี้บริเวณนี้บานค่อนข้างไวกว่าปีก่อน แต่ก็ยังดีที่ยังพอมีให้เราชื่นชม สำหรับใครที่จะชมดอกซากุระเมืองไทยที่จังหวัดน่าน(ในปีหน้า) ลองเช็คข่าวกันดีๆนะครับ … อีกอย่างหนึ่งที่อยากแนะนำ อุทยานแห่งชาติขุนสถาน ไม่ได้มีดีแค่ต้นนางพญาเสือโคล่ง ตลอดทางขึ้นเขามีร้านกาแฟและร้านขายสตรอเบอรี่ให้บริการอยู่หลายร้าน นอกจากนี้ยังมีชุดชาวเขาให้คุณเช่าใส่ถ่ายรูปกับสายหมอกและขุนเขาอีกด้วยครับ
หลังจากนั้นเราเดินทางสู่ตัวเมืองน่าน เรามาถึงกันเวลาสายๆแล้ว เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ เมืองน่านค่อนข้างเงียบสงบเพราะหลายร้านปิดให้บริการ จะมีแต่ร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดเท่านั้น (ชิลล์ดีเหมือนกัน) สถานที่แรกที่เรามาเยือนคือ “วัดภูมินทร์” พูดถึงชื่อวัดนี้ แล้วรู้สึกเป็นตัวเองยังไงก็ไม่รู้ (ชื่อเหมือนวัด ฮาฮา) … วัดแห่งนี้อายุราว 420 ปี แต่ก่อนชื่อ วัดพรหมมินทร์ เรียกตามชื่อผู้สร้างคือ ‘เจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์’ เจ้าของนครเมืองน่าน และได้เรียกเพี้ยนกันมาเป็นวัดภูมินทร์ในปัจจุบัน ความโดดเด่นของวัดนี้คือ พระอุโบสถจตุรมุข มีประตูทั้ง 4 ทิศ พระประธานปางมารวิชัย 4 องค์ ประดิษฐานตรงกลางพระอุโบสถหันหน้าออกทั้ง 4 ทิศ ถือว่าเป็นเอกลักษณ์สำคัญของวัดนี้ นอกจากนี้จิตรกรรมฝาผนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวของวิถีชีวิตพื้นเมืองล้านนาที่วิจิตรสวยงาม สร้างรอยยิ้มให้แก่ผู้ชมได้อย่างมาก โดยเฉพาะภาพ “ปู่ม่าน ย่าม่าน” กระซิบรักบรรลือโลก ที่ใครต่อใครมาเมืองน่านต้องมาเช็คอินที่จุดนี้ครับ
ถัดมาจากวัดภูมินทร์ไม่ไกล คือที่ตั้งของ “วัดช้างค้ำวรวิหาร” ถือว่าเป็นวัดหลวงกลางเวียงในอดีต มีอายุกว่า 620 ปี ซึ่งวันช้างค้ำฯแห่งนี้ ยังเป็นสถานที่สำคัญทางศิลปะและโบราณสถาน ที่บ่งบอกว่า นครน่านในช่วงต้นได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรสุโขทัยคือ เจดีย์ทรงลังกา และสังเกตจากช้างล้อมบนฐานเจดีย์เป็นศิลปะแบบสุโขทัย … ฉะนั้นใครที่มาสักการะไหว้พระที่วัดช้างค้ำฯ อย่าลืมเดินเยี่ยมชมเจดีย์สวยๆที่นี้ด้วยนะครับ
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่าน อยู่ฝั่งตรงข้ามวัดช้างค้ำฯ อดีตเป็น “หอคำ” ของผู้ครองนครเมืองน่าน สถาปัตยกรรมแบบยุโรปผสมพื้นเมืองล้านนา สร้างในสมับรัชกาลที่ 5 พอครั้ง เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้ายถึงพิราลัย ลูกหลานท่านให้มอบที่นี้ให้เป็นศาลากลางจังหวัดน่าน และเป็นพิพิธภัณฑ์ในที่สุด โดยวัตถุโบราณล้ำค่าสำคัญคือ “งาช้างดำ” หนัก 18 กก.อายุราวๆ 200 ปี ถือว่าเป็นสิ่งคู่เมืองของเมืองน่าน ส่วนครุฑนั้นสร้างในปี 2469 เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีแด่ราชวงศ์จักรี นอกจากนี้ยังมีศิลาจารึกโบราณเกี่ยวกับเมืองน่าน และพระพุทธรูปโบราณปางมารวิชัย (ตอนนี้บางส่วนในพิพิธภัณฑ์ปิดปรับปรุงจนถึงเดือนกันยายน 2559 นะครับ)
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่านคือ ต้นลีลาวดีที่เรียงรายอยู่ริมรั้ว เป็นมุมถ่ายรูปที่สวยงาม เป็นที่พักผ่อนย่อนใจแก่นักท่องเที่ยวได้อย่างดี ตอนนี้เป็นฤดูหนาวเป็นช่วงใบไม้ร่วง เราจึงได้ภาพกิ่งก้านเป็นทิวแถวที่สวยๆแบบนี้ครับ
อีกวัดหนึ่งที่โดดเด่นและสวยงามสะดุดเมื่อเราเดินทางมาถึงเมืองน่าน “วัดศรีพันต้น” อุโบสถสีทองอร่าม มีพญานาค 7 เศียรองค์ใหญ่อยู่หน้าทางขึ้น เป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างดี นอกจากนี้ ยังมีเรือหางยาวแบบ 60 ฝีพายให้ชมกันบริเวณหน้าวัดอีกด้วยครับ
แอ่วภูเขา ไหว้พระขอพรไปแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องหาอะไรกินกันแล้ว ผมขอแนะนำ “ขนมหวานป้านิ่ม” ลองกับลิ้น อร่อยจนต้องสั่งเพิ่มกันเลย ร้านตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามวัดศรีพันต้น เมนูหลักๆคือ ของร้อน 5 อย่าง (เลือกได้ 4 อย่าง) ราดน้ำกะทิหอมมัน และไอศครีมข้าวเหนียวมะม่วง … พูดตรงนี้ว่าอร่อยสุดจะบรรยาย รสชาติหวานกำลังดี วัตถุดิบเข้มข้น ถูกใจผู้มาเยือนแน่นอน ราคา 40-60 บาท สำหรับใครอยากจะลิ้มลอง ‘ขนมบัวลอย’ มีขายเวลา 18.00น.เป็นต้นไปนะครับ
อีกอย่างที่เราไม่พลาดคือ ‘อาหารเมือง’ หรืออาหารเหนือนั้นเอง … ไนท์ต้องสารภาพเลยว่า ไม่มีร้านไหนแนะนำเป็นพิเศษครับ เพราะดูแล้วแต่ละร้านก็คล้ายๆกัน (ในภาพจากร้านเฮือนเจ้านาง) นอกจากคุณจะกินพวกข้าวซอย-น้ำเงี้ยว มีบริการหลายร้านอยู่ แต่ผมไม่ได้ไปลอง
สุดท้ายก่อนจะเดินทางกลับ เย็นๆเรามาแวะที่ “วัดพระธาตุแช่แห้ง”ในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นชุมชนเก่า ก่อนที่จะอพยพไปอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน พระธาตุแช่แห้งสีทองอร่ามแห่งนี้ ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากกรุงสุโขทัย ถือว่าพระธาตุแห่งนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ความสัมพันธ์อันดีของเมืองน่านกับสุโขทัย นอกจากนี้พระธาตุแช่แห้งยังเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ ใครที่เกิดปีกระต่าย มาไหว้ขอพรที่นี้ถือว่าเป็นศิริมงคลแก่ตัวท่านอย่างยิ่งครับ
เมืองน่าน เมืองล้านนาเล็กๆ เนื่อกจากเมืองนี้ไม่ใช่เมืองผ่านแบบเมืองใหญ่หลายๆเมืองในภาคเหนือ ทำให้มีความเงียบสงบ สามารถเที่ยวได้แบบ 1 วัน เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ไม่ไกลกันมากนัก นอกจากนี้ทุกคืนวันอาทิตย์ ถนนด้านหน้าวันภูมินทร์ยังปิดเป็นถนนคนเดินอีกด้วย … ถ้าคุณมีเวลาไม่มาก อยากหาที่พักผ่อนคลายเครียด ใช้ชีวิตแบบ Slow Life ผมแนะนำ วันเดียวเที่ยวครบ … จบที่ “น่าน” ครับ
ติดตามเพจผมได้ที่
https://www.facebook.com/NightPhoominOfficial
Instagram: @nightphoomin
Twitter: @nightphoomin