Review รีวิว: ตามไนท์เที่ยว “อิสตันบูล” Istanbul, Turkey 3

ตอนที่ 3: The Old Town ย่านเมืองเก่าอิสตันบูล

 image

อิสตันบูลเป็นเมืองใหญ่เพียงเมืองเดียวที่ตั้งอยู่ระหว่างทวีปยุโรปและเอเชีย ฝั่งยุโรปแบ่งเป็น เมืองเก่า (The Old Town) และเมืองใหม่ (The New Town) ซึ่งฝั่งเมืองเก่ามีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย อย่างเช่น มหาวิหารโซเฟีย (Hagia Sophia) และ มัสยิดสีฟ้า (Blue Mosque) ที่ไนท์ได้เล่าไปแล้วเมื่อตอนที่แล้ว แต่ยังมีอีกหลายที่ที่น่าสนใจครับ

ย้อนอ่านตอนที่ 1: เตรียมตัวไปอิสตันบูล” »>www.nightphoomin.com/review-istanbul1

ย้อนอ่านตอนที่ 2: ตะลุย “อิสตันบูล” เมือง 2 ทวีป  > www.nightphoomin.com/review-istanbul2

 image

image

จากมหาวิหารโซเฟียเพียงแค่ข้ามถนนมาอีกฝั่งคุณจะพบตึกเล็กที่ดูแสนจะธรรมดา แต่คนต่อคิวรอซื้อตั๋วไม่ธรรมดาเลยครับ ที่นี้คือ “ห้องเก็บน้ำสไตล์โรมัน” (Basilica Cistern) ค่าเข้าชม 20 TL หลังจากผ่านช่องขายตั๋วเดินลงมาตามบันไดไม่ไกล ภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้ามันช่างมหัศจรรย์มาก เป็นเสาหินขนาดใหญ่หลายร้อยต้นตั้งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ด้านล่างเต็มไปด้วยน้ำใสๆที่มาปลาจำนวนมากว่ายอยู่ ภายในห้องเก็บน้ำฯค่อนข้างมืดนะครับ ถ่ายรูปลำบากมากๆ ต้องอาศัยยืนตามหลอดไฟ (ทุกคนก็ทำกันแบบนี้นะ)

image image

ห้องเก็บน้ำสไตล์โรมันสร้างขึ้นในยุคไบเซนไทน์ เมื่อปี ค.ศ.523 โดยพระเจ้าจัสติเนียน ลึกลงไปใต้ดิน 138 ม. กว้าง 64 ม. มีพื้นที่ทั้งหมด 9,800 ตร.ม. และจุน้ำได้ 80,000 ลบ.ม. มีเสาค้ำยันทำจากหินอ่อนทั้งหมด 336 ต้น สูง 9 เมจตร ตั้งเรียงกัน 12 แถว แถวละ 28 ต้น จากที่เราเดินอยู่ด้านบนแสงแดดร้อนๆ พอลงมาด้านล่าง ทำให้เรารู้สึกสงบอย่างไม่น่าเชื่อ เพลินไปกับสถานที่แปลกๆที่ไม่คิดว่าจะอยู่กลางเมืองแบบนี้ รู้ไหมว่าตั้งแต่จักรวรรดิ์ออตโตมันยึดครองที่นี้หลายร้อยปี ไม่มีใครเคยค้นพบห้องเห็บน้ำใต้ดินที่นี้เลย จนยุค 90 ถึงมีคนพบว่ามีน้ำผุดมาจากใต้ดิน จนมีการสำรวจและขุดพบในที่สุด และเปิดให้ท่องเที่ยวได้เมื่อ 9 กันยายน ปี 1987

image

ข้างในมืดมากมีไฟติดไปเป็นจุดๆตามทางเดิน นักท่องเที่ยวก็อาศัยไฟเหล่านี้แหละครับในการถ่ายรูป ถ่ายไปดูปลาแหวกว่ายไป สังเกตดีๆ ปลาที่นี้อ้วนๆทั้งนั้นเลย ดูแล้วน่ารักดีครับ … พอเราเดินๆไปบริเวณกลางๆห้องเก็บน้ำ เราจะเห็นเสาหน้าตาแปลกไปกว่าเสาต้นอื่น เป็นลายคล้ายๆหางนกยูงครับ หรือเขาเรียกว่า Peacock Eye Column นั้นเองครับ

image

สำหรับไฮไลท์ของที่นี้คงหนีไม่พ้นสุดท้ายเดินครับ หัวเมดูซ่า 2 หัว ที่ถูกเอามาทำเป็นฐานรองเสานั้นเอง หัวแรกจะเป็นสักษณะตะแคงขวา ส่วนอีกหัวจะกลับหัวครับ คาดกันว่า สมัยจักรวรรดิ์โรมันที่สร้างห้องเก็บน้ำแห่งนี้จะนำมาจากที่อื่นเพื่อประดับตกแต่งบูชาเทพเจ้าครับ

 image

image

Tip: เราจบการทัวร์ห้องเก็บน้ำสไตล์โรมันไปเรัยบร้อยแล้ว เป็นเวลากลางวันพอดี ซึ่งถนนตรงนี้เรียกว่า ถนน Yerebatan จะเต็มไปด้วยร้านอาหารน่ารักๆในสวนเล็กๆหลายร้านเลยครับ มีคนพื้นที่แนะนำให้ไนท์ไปลองกินที่ร้านเมดูซ่า (House of Medusa) … แน่นอนว่า เราเชื่อ! บรรยากาศในสวน อากาศประมาณ 20 องศา ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป นั่งชิวพักขา พร้อมกับกินอาหารรสชาติอร่อย สมกับที่เขาแนะนำมาจริงๆครับ

image

image

image

image

image

หลังจากอิ่มท้องมีแรงกันแล้ว เราเดินย้อนกลับมาตามทางรถรางผ่านมหาวิหารโซเฟีย ไม่ไกลเราก็ถึงทางเข้าเพื่อไปยังพิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล (Istanbul Archeological) และพระราชวังทอปกาปิ (Topkapi Palace) ตลอดทางเดินขึ้นเนินเขานี้ จะเป็นเศษซากสิ่งก่อสร้างโบราณวางอยู่ตามข้างถนนอีกด้วยครับ … การเดินขึ้นมาเนินเขาแห่งนี้ เราจะเดินมาถึงพิพิธภัณฑ์ก่อน ค่าเข้า 10 TL แต่เรามีบัตร Museum Pass ก็เดินเข้าไปได้สบายๆครับ

image

พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล (Istanbul Archeological) ติดอันดับ 1 ใน 10 พิพิธภัณฑ์สำคัญของโลก ประกอบด้วย 3 อาคารหลัก มีโบาราณวัตถุที่สำคัญๆหลายยุคหลายสมัย เป็นแหล่งการเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมได้อย่างดี พื้นที่กว้างขว้าง สำหรับใครที่ชื่นชอบประวัติศาตสร์อาจจะต้องใช้เวลาอยู่ที่นี้นานหน่อยนะครับ ขนาดไนท์ดูผ่านบ้าง ตั้งใจดูบ้าง ยังปาเข้าไปเกือบ 3 ชั่วโมงแนะ

 image

ถัดมาจากห้องขายตั๋ว เราจะพบกับอาคารหลักตั้งอยู่ทางซ้ายมือ คือสถานที่รวบรวมโบราณวัตถุ ศิลาจารึกสมัยโบราณตั้งแต่ก่อนคริสตกาล, รูปปั้นบูชาเทพเจ้าหลากหลายขนาด, ข้าวของเครื่องใช้ ตั้งแต่ยุคเมโสโปเตเมีย, ฮิตไตท์, อัสซีเรียส, อียิปต์

 image

image

image

ใครที่ไม่เคยเห็นมัมมี่ ที่นี้ก็มีจัดแสดงนะครับ อยู่ในตู้กระจกพร้อมโลงศพ ไนท์ก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเหมือนกันครับ มองอยู่นานสองนาน สังขารเราไม่เที่ยงจริงๆ ปลงซะงัน … มาต่อกันที่ทางเดิน เราจะเห็นอิฐสีสลักนูนเป็นรูปสัตว์ต่างๆ อย่างสิงโตเพื่อบูชาเทพเจ้า และกำแพงถนนแห่งกรุงบาบิโลน จะเห็นได้ว่า ย้อนไปสมัยโน้น แต่ละอาณาจักรแต่ละวัฒนธรรมยิ่งใหญ่มากๆครับ

 image

image

image

image

image

เดินออกมาจากอาคารแรก ทางขวามือจะเจอกับอาคารใหญ่ 3 ชั้น รวบรวมของโบราณชิ้นใหญ่ๆสำคัญๆไว้มากมายเช่นกัน อย่างเช่น โรงศพหลากหลายสไตล์ หินแกสลัก ปูนปั้น ทั้งของกษัตริย์ ขุนนาง และนักรบ ตั้งแต่ยุคโรมันก่อนคริสตกาลเรื่อยมาเลยครับ นอกจากมียังมีรูปปั้นบูชาเทพเจ้าที่จัดแสดงให้เราชมมากมาย รวมถึงประวัติศาตร์และศิลปะในยุคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเมืองอิสตันบูลครับ

 

 

Tip: พิพิณฑ์แห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางมากและมีหลายชั้น จัดแสดงโบราณวัตถุเป็นหมวดหมู่มากมาย ใครที่ชอบประวัติศาสตร์ควรจะจัดสรรเวลาในการเยี่ยมชมที่นี้นานหน่อยนะครับ 3 ชั่วโมงขึ้นไปครับ

ส่วนอาคารขนาดกลางๆ อยู่ตรงข้ามกับอาคาร 2 คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะของศาสนาอิสลาม (Musem of Islamic Art) แค่ซุ้มประตูทางเข้าก็สวยงามแล้วครับ ทำมาจากกระเบื้องแบบเดียวกับที่สร้างมัสยิดมีสีสันสดใสสวยงาม ด้านในจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ เครื่องประดับตกแต่งที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมของประเทศตุรกีครับ

 

 

เดินขึ้นไปตามถนนจะผ่านทหารเฝ้ายามหน้าตาดี พอเราขอถ่ายรูปเขาก็ยิ้มๆ อารมณ์แบบว่า โดนนักท่องเที่ยวขอถ่ายทั้งวันอะไรทำนองนั้น เขาให้ความร่วมมือดีมาก และเมื่อเดินไปสุดถนนจะเป็นจุดสูงสุดของเนินเขาแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของพระราชวังทอปคาปิ (Topkapi Palace) ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO เมื่อปี 1985 เป็นที่ประทับของสุลต่านในยุคออตโตมันรุ่งเรืองราวปี 1465-1853 … สำหรับการเข้าชมต้องเสียเงิน 2 ส่วนครับ ส่วนพระราชวังกับฮาเร็ม รวม 40 TL แต่ถ้าคุณมี Museum Pass ก็ผ่านได้สบายครับ พอผ่านจุดซื้อตั๋วแล้ว เราจะพบกับลานกว้างที่มีถนนทอดยาวออกไปจนถึงหน้าประตูวัง ให้ความรู้สึกเข้มแข็งน่าเกรงขามมากๆ ส่วนทำว่า Topkapi แปลว่า ประตูปืนใหญ่ ครับ

การสร้างเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1459 ตามพระราชโองการของสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 หลังจากที่ทรงพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเบิลจากจักรวรรดิ์ไบเซนไทน์ได้ ตัวพระราชวังเป็นกลุ่มสิ่งก่อสร้างที่มีลานหลักสี่ลานและสิ่งก่อสร้างย่อยๆ อีกหลายตึก ซึ่งปัจจุบันได้จัดแสดงสิ่งของสำคัญๆในยุคออตโตมัน ในสมัยั้นพระราชวังแห่งนี้เป็นที่พำนักของผู้คนถึง 4,000 คน (แค่นางสนมก็ปาไป 1,000 กว่าคนแล้ว) สิ่งก่อสร้างได้ขยายไปตามพื้นที่โดยรอบ ส่วนการบูรณปฏิสังขรณ์หลายครั้งเช่น ปี ค.ศ. 1509 ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว และปี ค.ศ. 1665 หลังจากเกิดเพลิงไหม้ ภายในพระราชวังใช้เป็นสุเหร่า โรงพยาบาล โรงอบขนมปัง และโรงตีเงินกษาปณ์

 

เมื่อผ่านประตูใหญ่มาแล้ว ถ้าฝั่งซ้ายมือจะเป็นทางเข้าของ “ฮาเร็ม” (Harem) ที่พักของหญิงหรือนางสนมฝ่ายในนั้นเอง คำว่า ฮาเร็ม นั้นไม่ได้หมายความว่า ซ่องหรือที่มั่วสุมเสพกามของกษัตริย์เพียงเท่านั้นนะครับ ความหมายจริงๆสอดคล้องกับความเชื่อของศาสนาอิสลามที่ห้ามคนแปลกหน้าเห็นหน้าภรรยา ลูกสาวและข้าทาสบริวารที่เป็นผู้หญิง รวมถึงแม่ น้องสาว และพี่สาวด้วยเช่นกันครับ โดยมีพระชาชนนีหรือแม่ของสุลต่านเป็นหัวหน้าใหญ่ของที่นี้ รองมาก็เป็นพระมเหสีที่ให้กำเนิดพระธิดาองค์แรก ถัดมาถึงจะเป็นพระสนน และฮาเร็มไม่ได้มีเฉพาะในวังหลวงเท่านั้น ถ้าใครเป็นเศรษฐีมีเมียหลายๆคน ฮาเร็มจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับความรวยครับ

ฮาเร็มเปรียมเสมือนสถานที่ของนางในที่กษัตริย์เท่านั้นที่สามารถเข้าได้ ฉะนั้นภายในฮาเร็มเต็มไปด้วยห้องต่างๆเช่น ห้องแต่งตัว, ห้องอาบน้ำ, ห้องสมุด, ห้องทำความสะอาด, ห้องนอน, ห้องกินข้าว รวมถึงส่วนกลางที่เอาไว้ประชุมหรือพักผ่อนย้อนใจครับ สำหรับฮาเร็มแห่งนี้มีนางสนมนับพันคน การแข่งขันที่จะได้หลับนอนกับสุลต่านถือว่าเข้มข้นมากๆ ในแต่ละวัน จะมีผู้หญิงเดินเรียงคิว 300-900 คนมาให้สุลต่านเลือก โดยพระองค์จะมีข้อมูลหญิงแต่ละนางคร่าวๆ เมื่อเลือกเรียบร้อยแล้ว สาวงามผู้นั้นต้องไปความสะอาดร่างกายทาสีผึ้งน้ำหอมให้หอม ลูบไล้แล้วไม่ระคายเคือง แต่งตัวสวยงามพร้อมกับถวายตัวครับ … การเข้าหาสุลต่านมีกฏว่า จะต้องเข้าหาจากทางปลายเท้าเท่านั้น ใครทำผิดกฏจะถูกลงโทษ และไม่มีโอกาสถวายตัวอีก … ส่วนสาวงามของสุลต่านหลายคนถูกเกณฑ์มาจากหัวเมืองต่างๆ เป็นเห็นผลทำไมคนตุรกีถึงมีหน้าตาไปทางยุโรปหรือหน้าตาฝรั่งกว่าแขกแถวตะวันออกกลางนั้นเอง

 

The Imperial Council หรือสภาอิมพีเรียล ในสมัยนั้นประชุมอาทิตย์ละ 4 ครั้งในวันเสาร์-อังคาร โดยสมาชิกสภาประกอบด้วยอัครมหาเสนาบดี-ต่างประเทศ หัวหน้าผู้พิพากษาศาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยการประชุมหารือกันจะเกี่ยวกับการบริหาร การเมือง การศาสนา

ส่วนพระราชวังชั้นในนั้นจะผ่าน Gate of Felicity ประตูที่สร้างสไตล์โมรอคโค และด้านหน้าตรงนี้จะเป็นลานกว้างใช้ในการประกอบพิธีสำคัญๆมากมาย ในส่วนอาคารต่างๆที่อยู่ภายในนี้ จัดแสดงโบราณวัตถุที่สำคัญมากมาย เช่น อาวุธ, เครื่องนุ่งห่มของสุลต่าน, ห้องครัว, ห้องครัว รวมไปถึงห้องเก็บสมบัติ (Imperial Treasury) ที่จัดแสดงเพชรนิลจินดาล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้ และยังเป็นสิ่งของที่บ่งบอกเรื่องราวประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี เพราะบางชิ้นเป็นสิ่งของที่กษัติย์หรือบุคคลสำคัญมอบให้เป็นที่ระลึกวึ่งกันและกันเป็นต้น

 

สุดท้ายไฮไลท์ของพระราชวังทอปคาปิคือ การได้ขึ้นมาชมวิวอิสตันบูลฝั่งเอเซียและฝังเมืองให้ โดยเห็นวิวทะเลชัดเจนครับ ฟินมากๆ

พระราชวังโทพคาปึเริ่มมาหมดความสำคัญในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อสุลต่านนิยมที่จะเสด็จไปประทับที่พระราชวังใหม่ Dolmabahçe Palace  บนฝั่งบอสฟอรัสมากขึ้น ซึ่งเป็นพระราชวังแบบยุโรปที่สร้างขึ้นใหม่ในเมือง แต่ระบบบริหารต่างๆ เช่นกองพระคลัง หอสมุด สุเหร่า และ โรงกษาปณ์ยังคงอยู่ที่พระราชวังทอปคาปิ

ในส่วนของเขตเมืองเก่าใกล่ๆกับที่เที่ยวยอดฮิตอย่างมหาวิหารโซเฟียและมัสยิดสีฟ้า ก็คือ ตลาดแกนด์บาร์ซ่า (Grand Bazaar) เรียกง่ายๆคล้ายจตุจักรของเมืองไทยนั้นแหละครับ รวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับตุรกีมาขายที่นี้ อยู่ตรงสถานีรถราง Cemberlitas ถัดจากสถานี Sultan-ahmet มาเพียงสถานีเดียวครับ

 

ใกล้ๆทางเข้าตลาดแกนด์บาร์ซ่า เราจะเห็นเสาต้นใหญ่สูงๆ นั้นก็คือ เสาแห่งคอนสแตนติน (Column of Constantine) อนุสาวรีย์สมัยโรมัน สร้างโดยจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช ค.ศ. 330 เพื่อเป็นเกียรติให้แก่เมืองหลวงของโรมันนั้นเอง สมัยก่อนหน้าตารูปร่างคงสวยงามกว่านี้ครับ ตอนนี้ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา

เรามาเข้าเรื่องตลาดแกนด์บาร์ซ่ากันต่อดีกว่า เป็นตลาดใหญ่ผู้คนมากมาย สำหรับไนท์ไม่มีของที่ต้องการสักเท่าไหร่ครับ ถือว่ามาเดินเอาบรรยากาศ แต่สำหรับใครที่หาของแต่งบ้าน เช่น โคมไฟ, พรม, เครื่องเทศ, ผลไม้แห้ง, เครื่องประดับ, เซรามิค และของที่ระลึกสไตล์ตุรกีอีกมากมาย ที่นี้ตอบโจทย์คุณแน่นอนครับ ด้วยร้านค้ากว่า 3,000 ร้าน มีทั้งหมด 61 ซอย มีนักท่องเที่ยวมาที่นี้แต่ละวันมากกว่า 200,000 คน เยอะจริงๆครับ คอนเฟิร์ม! ที่สำคัญที่ทำให้เรารู้สึกอเมซิ่งคือ ตลาดแห่งนี้สร้างตั้งแต่มี ค.ศ. 1455 ใช้เวลา 5 ปีในการสร้าง เปิดอย่างเป็นทางการปี 1460 เป็นตลาดขายเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ยิ่งใหญ๋ในยุคออตโตมัน (ต้องเข้าใจว่าอิสตันบูลเป็นเมืองท่าที่สำคัญ พ่อค้าหลากหลายเชื้อชาติเดินเรือมาที่แห่งนี้)

Tip: ถ้าคุณท่องเที่ยวในเมืองตุรกี แล้วสงสัยว่า จะหาหนุ่มๆหน้าตาหล่อเหลา ดูแล้วเจริญหูเจริญตาได้ที่ไหน … ผมแนะนำที่ตลาดแกนด์บาร์ซ่านี้แหละครับ พ่อค้าแซ่บหน้าตาแขกๆ ฝรั่งๆมีให้เห็นเยอะแยะมากๆ … สำหรับราคาสินค้าที่นี้ต่อรองได้ สามารถต่อได้แบบครึ่งๆเลยก็ได้ และหลายๆร้านขายของเหมือนๆกัน การเลือกซื้อกับพ่อค้าหน้าตาดีแถมยังได้ลดราคา ถือว่าเป็นโชค 2 ชั้นเลยนะครับ ฮาฮา … (จากที่สังเกต แม่ค้าไม่ค่อยมีนะ )

 

ออกมาจากตลาดแกนด์บาร์ซ่า เราจะเห็นของขายแบกับดินยาวไปถึง จตุรัสเบยาซิต (Beyazit Square) หรือจตุรัสแห่งอิสรภาพ ตรงนี้เป็นลานกว้าง ซึ่งช่วงเย็นๆจะมีพ่อค้ามาขายของมากมาย ดูแล้วก็ไม่น่าสนใจเท่าไหร่ครับ ประมาณนาฬิกา-น้ำหอมปลอม ครับ … ส่วนบริเวณนี้ยังใกล้ทางเข้าหลักของมหาวิทยาลัยอิสตันบูล (Istanbul University) และมัสยิดบาเยซิดที่ 2 (Beyezid II Mosque) ครับ

 

สำหรับฝั่งเมืองเก่า The Old Town ยังไม่หมดแค่นี้นะครับ ยังมีมัสยิดสุไลมาน ที่สร้างบนเนินเขาสูงอีกแห่งหนึ่งของอิสตันบูล (Suleymaniye Mosque) เราสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล โบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่ที่สุดของอิสตันบูล St. Savior in Chora, จุดชมวิวเมืองอิสตันบูลที่สวยที่สุด Pierre Loti … โปรดติดตามในตอนหน้าครับ

 

ย้อนอ่านตอนที่ 1: เตรียมตัวไป “อิสตันบูล” >http://goo.gl/7ZNXAU

ย้อนอ่านตอนที่ 2: ตะลุย “อิสตันบูล” เมือง 2 ทวีป  > http://goo.gl/vdT4WY

ติดตามไนท์ได้ทางช่องทางเหล่านี้ครับ:

Website: http://www.nightphoomin.com
Twitter: http://www.twitter.com/NightPhoomin
Facebook: http://www.facebook.com/NightPhoominOfficial
Instagram: http://www.instagram.com/NightPhoomin
Google+: http://www.gplus.to/nightphoomin



I'm the creator and producer of a tv show. Also, I work on social media marketing for artists, products and special projects. I love writing- photography and enjoy sharing them on my social media. I like the hit music, good movies, exercise and traveling. This is my blog. I hope you will enjoy it.