ตั้งแต่ทางการของประเทศญี่ปุ่นประกาศให้คนไทยไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องทำวีซ่า ทำให้ตลอดระยะเวลาปีกว่าๆตารางทัวร์ไปเที่ยวแดนอาทิตย์อุทัยนั้นคึกคักขึ้นมาทันที หรือแม้แต่คนที่เดินทางไปท่องเที่ยวด้วยตัวเองก็ตาม เพราะเดี๋ยวนี้การเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นที่เคยขึ้นชื่อเรื่องการขอวีซ่ายากเย็นแสนเข็ญสำหรับคนไทย วันนี้กลับเป็นเรื่องที่เดินเข้าประเทศนี้ได้อย่างง่ายดายและสามารถพำนักอยู่ได้ถึง 15 วัน
ไนท์รู้จักประเทศญี่ปุ่นในเชิงสถานที่ท่องเที่ยวไม่มากนัก ถ้ารู้จักดีก็คงจะอาหารญี่ปุ่น การ์ตูน รวมไปถึงประวัติศาสตร์ในแง่มุมต่างๆ ได้ยินได้อ่านเรื่องราวของคนที่เดินทางไปเที่ยวมาก็มากมาย แต่ตัวเราเองไม่ได้มีโอกาสได้ไปสักที หรืออาจจะมัวไปเที่ยวที่อื่นอยู่ก็เป็นได้ครับ และรีวิวนี้คือ การไปเยือนประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิตของไนท์นั้นเองครับ
TIP: ญี่ปุ่น หรือ Nipon/Nippon แปลว่า ถิ่นกำเนิดแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งสมญานามนี้ได้มาเพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อยู่ทางด้านตะวันออกของทวีปเอเชีย มีเกาะน้อยใหญ่มากกว่า 3,000 เกาะ มีประชากรสูงราว 130 ล้านคน
ฤดูกาล 4 ฤดู ได้แก่ ใบไม้ผลิ, หน้าร้อน, ใบไม้ร่วง(ใบไม้เปลี่ยนสี) และฤดูหนาว
ภาษาราชการคือ ภาษาญี่ปุ่น
อัตราแลกเงิน 100 เยน = 30 บาท หรือ 1 ดอลล่าร์ = 105 เยน
เบอร์ฉุกเฉิน: ตำรวจ 110, ไฟไหม้ 119
กลางเดือนตุลาคมที่ไนท์ไปเมืองโตเกียว เป็นช่วงที่พายุไต้ฝุ่นเข้าทางใต้ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีอิทธิพลมาถึงโตเกียวแบบเลี่ยงไม่ได้ เราต้องมาลุ้นกันว่าจะได้เห็นฟ้าเปิด สภาพอากาศสดใสหรือเปล่า พอไปถึงสนามบินนาริตะ สภาพอากาศดี แดดออก ท้องฟ้าแจ่มใส … ถึงแม้ว่าจะมีข่าวตามมาว่า ช่วงเย็นๆฝนจะตก แต่ชาวคณะก็ไม่ได้กลัวแต่อย่างใด โดยเฉพาะไนท์ ก็มาโตเกียวครั้งแรกในชีวิตก็ต้องเต็มที่กันหน่อย
ไนท์เดินทางโดยรถทัวร์ที่ทีมงานจัดเตรียมไว้เข้าสู่ตัวเมืองโตเกียว จากสนามบินนาริตะใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ก็มาถึงที่หมายแรกคือ ร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ชาบู น้ำซุปปลาโอ เสิร์ฟพร้อมกับไก่ทอด รสชาติดี มีความสุขอิ่มท้องไปอีกหนึ่งมื้อ และที่นี้ถือว่าเป็นการกินอาหารญี่ปุ่นครั้งแรกของไนท์ในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
Ueno Park สวนสาธารณะอุเอโนะ เป็นสวนสาธารณะที่เก่าแก่และใหญ่โตอันดับต้นๆของญี่ปุ่น เปิดให้ใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี ค.ศ. 1873 ถ้าเล่าแบบนี้คุณคงนึกภาพไม่ออก แต่ถ้าบอกว่า คุณเคยเห็นภาพต้นซากุระบานแล้วมีคนไปนั่งปูเสื่อพักผ่อนหย่อนใจในช่วงหน้าร้อน ก็ต้องบอกว่า ที่มาของภาพนั้นคือที่นี้นั้นเอง ถ้าใครอยากมาดูดอกซากุระบานต้องมาในช่วงหน้าร้อนนะครับ เดือนเมษายน-พฤษภาคม … สำหรับช่วงที่ไนท์มาเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ใกล้จะเปลี่ยนสีแล้วละครับ นอกจากนี้สวนสาธารณะอุเอโนะ ยังประกอบไปด้วย ศาลเจ้า, วัดเก่าแก่, พิพิธภัณฑ์ เรียกว่าใหญ่โตมาก เยี่ยมชมทั้งวันก็ไม่หมดครับ ถ้าใครพอจะมีเวลา ชื่นชอบธรรมชาติและพิพิธภัณฑ์ ที่อุเอโนะถือว่าตอบโจทย์ครับ สามารถนั่งรถไฟฟ้าหรือรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงที่สถานี Ueno ได้เลยครับ
แค่เดินข้ามฝั่งถนนมาจะพบกับย่านช๊อปปิ้งใหญ่ชื่อว่า Ameyoko มีร้านค้ามากมายที่ตั้งอยู่ใต้ทางรถไฟฟ้าสาย JR แวดล้อมด้วยตึกห้างสรรพสินค้าขนาดย่อมๆ ทำว่า Ameyoko มาจากคำว่า America เพราะสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ย่านนี้เป็นย่านที่ขายลูกกวาดและข้าวของที่มาจากประเทศอเมริกานั้นเอง … ร้านค้าที่นี้ค่อนข้างจะหลากหลาย ทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย, อาหารนานาชาติ แต่ถ้าถามถึงราคา ไม่ได้ถูกเลยครับ ไนท์แนะนำนะครับ ถ้าใครจะมาเดินเล่นกินอาหาร หรือดูของเก๋ๆเป็นไอเดียก็โอเคอยู่ แต่ถ้าจะซื้อจริงจังอันนี้ต้องคิดหน่อยครับ
TIP: การแลกเงินเยนนั้น ประเทศนี้มักแลกที่ธนาคารนะครับ ไม่ค่อยมีร้านแลกเงินตามถนนแบบประเทศอื่น ฉะนั้นเพื่อความสะดวกควรแลกเงินจากเมืองไทยมาให้เรียบร้อยนะครับ แล้วแลกดอลล่าร์ติดไว้ เผื่อมาแลกที่นี้ครับ
อย่างที่บอกว่าโตเกียวโดนอิทธิพลจากพายุไต้ฝุ่น วันถัดมาเจอฝนเข้าอย่างจัง พวกเราเดินทางไปที่พระราชวังอิมพีเรียลในแบบที่เรียกว่าฝ่าฝนตั้งแต่เดินทางออกจากโรงแรมไปจนถึงเดินตะลุยผ่านสวนอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ในบริเวณพระราชวังอิมพีเรียล ซึ่งเราสามารถเยี่ยมชมได้จากด้านนอกเท่านั้นครับ ด้านหน้าของพระราชวังมีสะพานคู่ที่หลายๆคนเรียกว่า สะพานแว่นตา เพราะเวลาภาพสะท้อนกับน้ำจะคล้ายแว่นตานั้นเอง ส่วนสะพานเหล็กที่อยู่ถัดไปมีความสำคัญคือ สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโต้องค์ปัจจุบันจะเสด็จมาที่สะพานแห่งนี้เพื่อทรงโบกพระหัตถ์แก่ประชาชน ในวันขึ้นปีใหม่วันที่ 2 และวันที่ 23 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติของพระองค์นั้นเอง
TIP: พระราชวังอิมพีเรียล เป็นที่ประทับของจักรพรรดิราวปีค.ศ.1868 หลังจากถูกทำลายไปมาจากระเบิดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับการบูรณะในปี ค.ศ. 1964 ซึ่งว่ากันว่า มูลค่าสูงของพระราชวังในสมัยนั้นสูงกว่าอสังหาริมทรัพย์ในรัฐแคลิฟอร์เนียของอเมริกาซะอีก ปัจจุบันภายในประกอบด้วย พระราชวังค์, พิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์, สำนักพระราชวัง และสวนขนาดใหญ่
ไฮไลต์ของการมาเที่ยวเมืองโตเกียวคงหนีไม่พ้น วัดอาซะกุสะ วัดเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองโตเกียว มีเสน่ห์ที่น่าประทับใจที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปคือ โคมสีแดงขนาดใหญ่ที่มีทั้งหน้าประตูทางเข้า และหน้าทางขึ้นอาราม ถือว่าเป็นจุดไฮไลต์สำคัญเลยครับ ก่อนที่เราจะขึ้นไปสักการะพระโพธิสัตว์คันนน เราต้องจุดธูปของพรก่อน แต่ที่ญี่ปุ่นมีธรรมเนียมอยู่ว่า เราจะกวักมือเอาควันธูปเข้าหาตัวเพื่อสิ่งดีๆจะได้เข้ามา และเราก็นึกถึงสิ่งที่ไม่ดี แล้วบัดควันธูปออกจากตัวครับ นักท่องที่ยวบางคนไม่รู้ อาจจะงงๆได้ว่า คนญี่ปุ่นเขากวักมือทำไมกัน หลังจากเรารับควันธูปเป็นสิริมงคลแล้ว เราต้องทำการล้างมือล้างหน้าบริเวณบ่อน้ำก่อน โดยการเอาที่ตักน้ำไปรองรับน้ำจากก๊อกที่ไหลลงมา (จะไม่ตักนะ) แล้วล้างมือซ้ายมือขวา และเอาเทน้ำที่มือแล้วเอามาบ่วนปากครับ ส่วนน้ำที่เหลือจะต้องเททิ้งนะครับ ห้ามเทกลับไป
อาคารหลักที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์คันนน จะเป็นลักษณะบันไดสูง มีโคมแดงอยู่หน้าอาราม จุดๆนี้ที่นักท่องเที่ยวนิยมจะมาถ่ายรูปกัน ด้านหนังโคมแดงจะเป็นที่ให้โยนเหรียญเงินเพื่อจะอธิษฐาน สำหรับเหรียญที่นิยมคือเหรียญ 5, 50, 500 เยน ที่เป็นลักษณะมีรูตรงกลาง หมายความว่าจะได้กลับมาที่นี้อีกนั้นเองครับ … ไนท์จัดไปแล้วเรียบร้อย
TIP: ตำนานของวัดอาซะกุสะชาวนาตั้งแต่มีค.ศ. 628 มี 2 พี่น้องชาวประมงหาปลาในแม่น้ำสุมิดะไม่ได้สักที เลยอธิฐานให้จับปลาได้ แต่สิ่งที่ได้คือ รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมทองคำสูง 5 นิ้ว หลังจากที่มอบให้หัวหน้าหมู่บ้าน ชาวบ้านได้ตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์เลยดัดแปลงบ้านของตนเป็นวัดเล็กๆ จนเป็นที่ล่ำลือถึงท่านโชกุนในสมัยนั้น ต่อมาในปีค.ศ.645 ท่านโชกุนได้สร้างอาคารหลังและต่อเต็มเรื่อยมา และฝนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดแห่งนี้โดนระเบิดทำลายด้วยเช่นกัน ได้บูรณะในปีค.ศ.1965 ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่และความสงบสุขของชาวญี่ปุ่นจนถึงปัจจุบัน
บริเวณวัดอาซะกุสะยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอาซากุสะ เป็นศาลเจ้าที่คนญี่ปุ่นมักจะมาทำพิธีมงคลกันที่นี้ เช่น งานแต่งงาน เป็นต้นครับ นอกจากนี้บริเวณด้านหน้าวัดยังเป็นทางเดินยาวๆที่มีร้านค้าเล็กๆหลายร้อยร้านค้า อย่าง อาหาร ของฝากของที่ระลึก ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินและเสียตังส์ อย่างน้อยๆก็ขนมหน้าตาหน้ากินครับ
สุดท้ายเราไปช๊อปปิ้งกันที่ย่านชินจุกุครับ ย่านนี้เป็นแหล่งช๊อปปิ้งใหญ่ ใหญ่มากๆๆๆๆ เดินจนขาลากกันไปเลย ทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ อาหาร ของฝาก เยอะแยะไปหมด แล้วที่สำคัญย่านนี้เป็นแหล่งของผับบาร์ที่ให้บริการตลอดทั้งคืนด้วย โดยผับบาร์บางร้านจะปิดเที่ยงคืน คือคนจะกลับก่อนที่รรไฟฟ้าจะปิดตอนเที่ยงคืน ส่วนบางร้านจะปิดตี 5 เลยครับ เพราะรถไฟฟ้าขบวนแรกเริ่มวิ่งตี 5 ครึ่งนั้นเอง … ส่วนตัวมาน้อยวัน นั่งชิวถึงเช้ามาแล้วครับ
การมาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกของไนท์ถึงจะมาน้อยวัน แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีครับ ทำให้เรารู้จักประเทศนี้ในมิติที่แตกต่างจากที่เรารับรู้มา เช่นอาหารญี่ปุ่นที่เรากินเป็นประจำหรือการ์ตูนที่เราดูตั้งแต่เด็กๆ มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ยาวนาน มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่น่ามาเยือน หลังจากที่ซื้อของฝากที่สนามบินนาริตะเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ ไนท์บอกกับตัวเองว่า ต้องกลับมาที่นี้อีกแน่นอน ที่สำคัญขอบคุณพี่ๆน้องๆที่ร่วมทริปนี้ด้วยกัน ได้ประสบการณ์และมิตรภาพที่อบอุ่น
ติดตามไนท์ได้ทางช่องทางเหล่านี้ครับ:
Website: http://www.nightphoomin.com
Twitter: http://www.twitter.com/NightPhoomin
Facebook: http://www.facebook.com/NightPhoominOfficial
Instagram: http://www.instagram.com/NightPhoomin
Google+: http://www.google.com/+nightphoomin