Add Line@ มาที่: @nightphoomin (ใส่ @ ด้วยนะ)
.
คลิปประกอบรีวิว พาขึ้นกระเช้าฟานซิปัง ซาปา เวียดนาม
.
รู้จักซาปา
“ซาปา” คือเมืองทางเหนือ อยู่ในเขตจังหวัดลาวไก ประเทศเวียดนาม อยู่ห่างจากเมืองหลวง “ฮานอย” 380 กม. มีชายแดนทางเหนือยติดกับประเทศจีน ซึ่งภูมิประเทศส่วนมากเป็นภูเขา มีชมกลุ่มน้อยอาศัยอยู่มากมาย เช่น ม้ง และไททรงดำ เป็นต้น ความสำคัญในอดีตพื้นที่บริเวณนี้ เป็นทางผ่านของแม่น้ำแดงจากประเทศจีนไหลผ่านเวียดนามและออกอ่าวตั๋งเกี๋ย มีประวัติศาสตร์สงคราม การค้าขาย รวมถึงยุคล่าอาณานิคมจากฝรั่งเศส ในยุค 1950 ระหว่างฝรั่งเศสยึดครองอินโดจีน ในช่วงหน้าร้อน ชาวฝรั่งเศสจะใช้เมืองซาปาเป็นที่พักตากอากาศ เพราะเดือน เม.ย.-มิ.ย. ทางเวียดนามใต้มีอากาศร้อนมาก ทำให้ชาวยุโรปที่มาอยู่ทนไม่ไหว ฉะนั้นเมืองซาปาถือว่าเป็นคำตอบที่ดี เพราะมีอากาศหนาวเย็นสลับฝนตลอดทั้งปี แม้แต่ช่วงฤดูร้อนในเวลากลางคืน อุณหภูมิราวๆ 10 กว่าองศาเท่านั้น
ในยุคหลังเมืองซาปาเป็นที่นิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากขึ้น เสมือนเป็นเมืองที่มีสายหมอกเป็นมนต์เสน่ห์ มีภูเขาสูงที่สุดในอินโดจีน (ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม) คือ “ภูเขาฟานซิปัง”(Fansipan) สูงจากระดับน้ำทะเล 3.143 กม. ในบางวันที่ไม่มีหมอก คุณสามารถมองเห็นยอดเขาจากเมืองซาปา แต่ถ้าวันไหนมีหมอกลงจัด ยอดเขาจะหายไปกลับสายหมอกเลยทีเดียว … ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ เมืองซาปาจะเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทำให้เมืองนี้ไม่ได้เป็นเมือง Slowlife ในแบบที่หลายคนคิด ตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ช่วงเย็นค่ำ คนมากมายเต็มไปหมด แต่ถ้ามองถึงเมืองที่มีภูมิประเทศและผู้คนพื้นเมืองอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ก็ถือว่าเป็นเมืองพักผ่อนและยังคงน่ามาเยือนอย่างยิ่งครับ
การเดินทางมาเมืองซาปา
- รถบัส-รถยนต์ จากฮานอย
- รถไฟ จากฮานอย-ลาวไก และมาต่อรถ
เรื่องเล่าจากซาปาสู่จุดสูงสุดฟานซิปัง
มิถุนายน ถือว่าเป็นช่วงหน้าร้อนอย่างเป็นทางการของเมืองซาปา ไนท์มีโอกาสได้เดินทางมาเที่ยวเวียดนามเป็นครั้งที่สอง (ครั้งแรกเมื่อกลางปี 2558 ไปเที่ยวโฮจิมินห์ เวียดนามใต้) ครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้กลับมาเยือนประเทศนี้อีกครั้ง และทริปนี้ผมไม่ได้มาคนเดียว ผมมากับคณะทัวร์จากบริษัททัวร์ We Win Travel Service (เบอร์ติดต่อด้านล่าง) ให้เดินทางมาเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวเวียดนามเหนือ ทริป ฮานอย-ซาปา-ฮาลองบก … แต่สำหรับรีวิวนี้ ไนท์ขอเล่าเรื่องในส่วนของ “Fansipan” ภูเขาสูงที่สุดของเวียดนามและอินโดจีน
จากฮานอยสู่ซาปา เราเดินทางโดยรถไฟและมาต่อรถที่จังหวัดลาวไก เที่ยวในตัวเมืองซาปาอยู่ 1 วัน(ไว้จะมาเล่าให้ฟังในรีวิวหน้านะ) และในวันถัดมาผมและคณะเดินทางไปที่ “Fansipan Legend” ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองซาปามากนัก ที่นี้เปิดอย่างเป็นทางการราวๆเดือน ก.พ. 2559 โดยรัฐบาลเวียดนามมีแนวคิดที่ว่า ภูเขาฟานซิปังเป็นภูเขาของชาวเวียดนามทุกคน ฉะนั้นทุกคนมีโอกาสขึ้นไปเหมือนๆกัน โดยสถาปนิกผู้ออกแบบกระเช้าฟานซิปังคือ “Doppelmayr”(Austria – Germany – Switzerland) ใช้เวลาสำรวจเส้นทาง 2 ปี จนแล้วเสร็จ ได้ความยาวของกระเช้า 6292.5 เมตร และถือว่าเป็นกระเช้าไฟฟ้าที่ยาวที่สุดในโลกอีกด้วย
หลังจากที่เราลงจากรถ แล้วนั่งรถกอล์ฟไปสู่ตัวอาคาร Fansipan Legend มองออกไปไกลๆในเมืองซาปา เราจะเห็น สายหมอกมาทักทายเรา รู้สึกเย็นตาสบายใจอย่างบอกไม่ถูก และก่อนจะเข้าถึงตัวอาคารจะพบกับศาลเจ้าแม่กวนอิม ให้นักท่องเที่ยวได้สัการะขอพรกันด้วยครับ … พอเข้าไปในตัวอาคารจะพบกับช่องขายตั๋ว ซึ่งผมไม่ต้องซื้อเอง เพราะพี่ไกด์จากทัวร์ จัดการให้เรียบร้อย ราคาตั๋วไป-กลับ 600,000 ดอง หรือ 1,000 บาท เก็บบัตรไว้ให้ดีๆ เพราะต้องใช้ทั้งขาไปและขากลับ ถ้าทำบัตรหาย คุณต้องซื้อใหม่ในราคาเต็มนะครับ
ผมและคณะเดินไปจนถึงจุดตรวจบัตร “Ga Sapa” ซึ่ง Ga ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า สถานี แต่ละกระเช้ารองรับคนได้ราวๆ 20 คน ใช้เวลาเดินทางไปจนถึงสถานีฟานซิปัง ประมาณ 15 นาที
(ควรดูคลิปรีวิว เพื่ออรรถรสในการอ่านรีวิว) กระเช้าพาเราออกเดินทางไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ความรู้สึกแรกคือ ว้าวววววมาก เพราะกระเช้าเป็นกระจกโดยรอบ เราสามารถมองเห็นวิวเมืองซาปาได้ทั่วแบบ 360 องศา เรามองออกไปทางด้านซ้ายมือจะเห็นหมู่บ้านกัตกัตและนาขั้นบันได สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของซาปาได้อย่างชันเจน โดยมีภูเขาและม่านหมอกเป็นฉากหลังอยู่ไกลๆ เป็นมุมมองที่หาจากที่ไหนไม่ได้นอกจากกระเช้าฟานซิปังแก่งนี้จริงๆ นอกจากนี้ ยังมีแม่น้ำ ลำธาร น้ำตก มาทักทายเราตลอดทาง จนกระเช้าพาเราขึ้นไปหายไปกับหมอกที่ขาวที่เรามองจากด้านล่างไกลๆ ขณะนี้เราได้มาอยู่กลางหมอกเป็นที่เรียบร้อย … เราเก็บเกี่ยวความสวยงามของธรรมชาติจนถึงสถานีฟานซิปัง
ในสถานีฟานซิปัง ประกอบด้วย ร้านอาหาร, ร้านกาแฟ และร้านของฝาก(ซื้อได้ตอนขากลับ) จากจุดนี้เราต้องเดินขึ้นไปต่อถึงจะถึงสุดสูงสุด ด้วยสภาพอากาศที่มีหมอกลงจัด ทำให้มีละอองฝนอยู่เบาๆ ฉะนั้นการสวมเสื้อกันฝนคือทางเลือกที่ดีของนักท่องเที่ยวทุกขึ้น หลังจากเราใส่เสื้อกันฝนแล้ว ก็เดินออกจากอาคารขึ้นไปทางด้านบน สิ่งแรกที่เราเห็นคือ “หมอก” ทุกทีเป็นหมอกหนา มองออกไปไกลๆไม่เป็นอะไรเลย สิ่งแรกที่ผมรู้สึกคือ “เรามายืนในเมฆหมอก จุดที่เรามองจากข้างล่างไกลๆ” เป็นความรู้สึกประทับใจมากๆ อุณหภูมิบนนี้เพียง 4-10 องศาเท่านั้น!
จากนั้นเราก็เดินผ่าน Tam Quan Gate เป็นประตูทรงจีนใหญ่ๆ ดูมีเสน่ห์มากๆเมื่ออยู่ในหมอก ถัดไปถึงศาลเจ้า Bich Van หลายคนจะหยุดกันบริเวณนี้ เพราะเดินไปต่อสภาพอากาศไม่ค่อยดี ฝนตกค่อนข้างหนักครับ
ถ้าคุณเดินต่อไปเรื่อยๆ จะมีศาลเจ้าอยู่ลึกไปอีกแห่ง (ดูจากแผนที่) และอีกไม่ไกลนักจะพบกับจุดสูงสุดของภูเขาฟานซิปัง (Fansipan Summit) สูงจากระดับน้ำทะเล 3.143 กม. เป็นลักษณะของสแตนเรส 3 เหลี่ยม สะท้อนให้เห็นว่าที่นี้คือภูเขาสามเหลี่ยม ภูเขาที่สูงที่สุดของเวียดนามและอินโดจีน
หมายเหตุ: วันที่ผมไป สภาพอากาศด้านบนไม่เอื้ออำนวย กับอุปกรณ์กล้องและมือถือ เลยไม่มีรูปจุดสูงสุดมาผ่าน ผมขอให้ภาพจาก Fansipan Legand มาให้ชนนะครับ
สมควรแก่เวลา เราและคณะได้เวลากลับ ผ่านร้านขายของที่ระลึกที่ใหญ่มาก มีของหลากหลายประเภทให้เลือกซื้อกับกลับบ้าน ก่อนที่จะขึ้นกระเช้า และใช้เวลา 15 นาที เพื่อลงไปถึงสถานีซาปา ซึ่งระหว่างทาง เราก็ได้ชมวิวซาปาในมุมสูงเพื่อเป็นการบอกลาเมืองซาปาอย่างเป็นทางการ ก่อนที่ผมและคณะกลับเมืองฮานอยในช่วงบ่ายครับ
สรุปสุดท้าย ผมมีความรู้สึกทึ้งกับความคิดของรัฐบาลเวียดนาม ที่อยากให้ทุกคนมีโอกาสได้ขึ้นมาถึง “ฟานซิปัง” จุดสูงสุดของเวียดนามและอินโอจีน เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของชาติ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งใหม่ของเมืองซาปา โดยลักษณะอาคารและที่จอดรับ สร้างไว้อย่างยิ่งใหญ่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวได้มากมาย ฉะนั้นใครที่กำลังตัดสินใจมาเที่ยวเมืองซาปา การมาเยือน Fansipan Legend เพื่อขึ้นไปพิชิตหลังคาอินโดจีนแห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งเหตุผลดีๆที่คุณควรมาเยือน
ขอบคุณ We Win Travel Service ที่ให้ไนท์ได้มีประสบการณ์การท่องเที่ยวดีๆและสะดวกสบายตลอดการเดินทางนะครับ ใครที่กำลังมองหาทัวร์ดีๆ จะไปเองหรือว่าพาครอบครัวไป จัดเลย FB: We Win Travel Service หรือโทร 02-653-0409 Hotline: 081-863-9963 , 081-919-6968 Line: @wewintravel
ติดต่องานรีวิว nightphoomin@gmail.com
ติดตามเพจผมได้ที่
https://www.facebook.com/NightPhoominOfficial
Instagram: @nightphoomin
Twitter: @nightphoomin